Tom Founder18126
ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิดเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางครับ ครอบครัวเรามีเงินไม่มากมายแต่ด้วยความที่พ่อแม่เป็นคนขยันแม้ว่าการศึกษาของทั้ง 2 จะไม่ได้สูงอาชีพรับจ้างทั่วไปของแม่และพนักงานบริษัทเงินเดือนหมื่นกว่าของพ่อก็สามารถเลี้ยงเรา 3 คนพี่น้องจบการศึกษาได้ การทำงานหนักของท่านทำให้ผมในฐานะลูกคนโตคิดได้ตั้งแต่ยังเด็กว่าเราต้องตั้งใจเรียนเพราะ "การศึกษา" จะทำให้ครอบครัวเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเราต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวคนต่อไป ผมจบการศึกษาระดับมัธยมจาก ร.ร.วัดพุทธบูชาจบด้วยคะแนนเฉลี่ยลำดับที่ 1 ในระดับ ม.ปลาย และได้โค้วต้าเข้าศึกษาต่อที่วิชาเอกวาสารศาสตร์ สาชาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นผู้สื่อข่าว TV ไม่ต้องการแย่งงานกับเพื่อนที่เรียนจบหลายหมื่นคนทำให้ผม "คิดไปเอง" ว่าการจบเกียรตินิยมน่าจะสู้กับคนอื่นได้ ทั้งการหางานที่ง่ายกว่าและเงินเดือนที่สูงกว่า แน่นอนครับ "ผมจบเกียรตินิยม" แต่ที่คิดผิดคือ..ผมรับเงินเดือนแรกรวมค่าเกียรตินิยมแล้ว 9,000 บาท!!! 4 ปีในการตั้งใจอ่านหนังสือไม่ได้การันตีว่าเราจะมีรายได้มากพอเพราะสุดท้ายเราไม่สามารถกำหนดเงินเดือนของเราได้ เราต้องยอมรับว่า "ลูกจ้างที่อยากได้เงินเยอะๆ" กับ "นายจ้างที่อยากจ่ายเงินน้อยๆ" สวนทางกันจึงไม่มีใครเคยเห็นลูกจ้างรวย จริงมั้ยครับ?

การทำงานเป็นผู้สื่อข่าวไม่มีเวลา ต้องทำงานไกลบ้าน ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงชีวิต  หลายครั้งเราอยู่ในการชุมนุมที่กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงพ่อแม่ไม่สามารถติดต่อเราได้เพราะสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัด รายได้เฉลี่ยเพิ่มเพียงปีละ 500 บาท รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้างานใช้เวลาเกือบ 20 ปีมีรายได้ 27,000 บาท ถ้าถึงวันนั้นผมไม่มีโอกาสได้เป็นหัวหน้าหล่ะ? แต่ถึงจะผมพยายามจนได้เป็นแต่ในอีก 20 ปีข้างหน้าข้าวราดแกงจานละกี่บาท ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมลล์ ค่าน้ำมัน ราคาทอง ฯลฯ จะเพิ่มขึ้นขนาดไหน ? คิดดูแล้ว 27,000 ในวันนั้นคงไม่ต่างจากหมื่นกว่าบาทในวันนี้ พอกันที !!! มองหาธุรกิจทำเองดีกว่า เงินลงทุนมีมั้ย ประสบการณ์ล่ะ ? พร้อมที่จะกู้เงินมาเสี่ยงมาลงทุนมั้ยกับเศรษฐกิจแบบนี้หรือไม่ ? คำตอบคือ...ไม่พร้อม !!!

จังหวะนี้ผมได้รู้จักกับเอมสตาร์เพื่อนร่วมงาน 2 คนซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำเครือข่าย ผมสนใจธุรกิจนี้เพียงเพราะอยากมีรายได้เพิ่มแค่ 2,000 บาทช่วยพ่อจ่ายค่าไฟเท่านั้น เมื่อศึกษารอบด้านและตัดความรู้สึกเดิมๆออก "ปิดหู" ไม่ฟังพวกคิดว่าอย่างงั้นอย่างงี้่ไม่เคยลงมือทำหรือเคยทำแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ผมถามคุณตรงๆ คุณจะฟังคนเหล่านี้ไปเพื่ออะไร ? สู้เรา"เปิดหู" ฟังเฉพาะคนสำเร็จที่เอาชนะอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าครับ เพราะ "เกมส์นี้เรามีทางชนะ" ไม่เหมือนงานประจำแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเพราะรายได้เราขึ้นอยู่กับปลายปากกาของคนอื่น

เมื่อผมศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผ่านสื่อต่างๆและรอบประชุมของโคลเวอร์กรุ๊ปทำให้ผมเชื่ออย่างมีเหตุผลว่าเอมสตาร์  "ต่าง" และ "เหมาะ" กับคนอย่างเราจริงๆ...
เราไม่ชอบขายของ แต่เราซื้อของใช้ทุกเดือน
เราพูดไม่เก่ง แต่หลายครั้งเราก็พูดไม่หยุดในสิ่งที่เรารู้จริง
เราโครตขี้เกียจ แต่เราก็ไม่เคยขาด ลา มาสาย ในงานประจำเลย
เราไม่มีเวลา (ให้ตัวเอง) แต่เรากลับมีเวลาให้กับงานของคนอื่นซึ่งเรามีมากซะด้วยวันละ 10 โมง
เราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราก็เคยพยายามจนเรียนจบเกียรตินิยมรับเงินเดือน 9,000 บาทมาแล้ว เยอะมาก 5555

ใช้สินค้า คือ ความหนักใจในช่วงแรกเพราะรู้สึกว่า "แพงเหลือเกิน" ทำใจไม่ได้ สุดท้ายตัดใจซื้อน้ำมันรำข้าว 1 กระปุกให้แม่ลองทานปัญหาสุขภาพแม่ดีขึ้นใน 15 วัน แม่ไปคุยต่อมีคนฝากซื้อมา 56 กระปุก / ตัดใจซื้อ ASNI 3 ชิ้น แม่เจ้า!!! เกือบ 3,000 ใช้สัปดาห์เดียวสิวอักเสบแห้งหน้าดีขึ้นเพื่อนทักและตามเข้ามาทำธุรกิจเรามีรายได้เดือนนั้น 8,900 บาท สรุปได้ว่าทุกครั้งที่เราจัดหนักใช้สินค้าแบบหลุดกรอบคำว่าแพง รายได้เราเพิ่มขึ้นแบบน่าตกใจเสมอเพราะแท้ที่จริง "การใช้สินค้าคือการลงทุนกับตัวเองในการทำธุรกิจครับ"

การเข้าเรียนรู้ในรอบเซ็นเตอร์ ช่วงแรกยอมรับว่าโครตยากในการตัดสินใจฝ่ารถติดนั่งรถไกลหลังเลิกงานมานั่งประชุม ประชุม ประชุม เป็นใครใครก็เบื่อ อยากกลับบ้าน อยากไปเดินห้าง ดูหนัง ฟังเพลง รีแล็คผ่อนคลาย แต่ทันทีที่เปิดดูกระเป๋าตังค์ "ว่างเปล่า"  เหลือ 300 บาทบ้าง 30 บาทบ้าง ถามตัวเองจะกลับบ้านหรือไปหาเรื่องใช้เงินเพื่ออะไรมาเซ็นเตอร์เอาความรู้ไปหาเงินดีกว่า การชวนเพื่อนยากในช่วงแรกครับเพราะเราไม่มีข้อมูลในการตอบคำถามเดือนแรกชวน 10 โดนปฏฺิเสธ 9 คน เถียงกันไปเถียงกันมาสุดท้ายเราแพ้ โดนด่าเละเทะ อับอายเพราะตอบคำถามไม่ไดแต่ในเดือนที่ 2 จากการเข้าเซ็นเตอร์ตัดสินใจไป "งานแคมป์" ทำให้เราชวนเพื่อนที่ตัดสินใจทำธุรกิจได้ถึง 18 คน

ความฝันที่ปราศจากการลงมือทำคือ "ความเพ้อฝัน" ในทางตรงกันข้ามความฝันลงมือทำ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคคือ "ความใฝ่ฝัน" ขอบคุณแบบอย่างที่ดีตั้งแต่เด็กจนโตคือพ่อกับแม่ที่ท่านทั้ง 2 ไม่เคยเลือกงาน ผมมั่นใจว่าการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า งานแก้ซิปเปลี่ยนทรงกางเกง งานรับจ้างรายวันที่แม่ทำ น่าจะไม่ใช่งานที่แม่ชอบ ขอบคุณการทุ่มเททำงานหนักของพ่อตื่นเช้ากลับดึกอยู่เป็นประจำแต่เพราะท่านมีเป้าหมายอยากให้เรา 3 คนพี่น้องเติบโตมีการศึกษาทำให้ผมหมดข้อโต้แย้งในว่าเราชอบหรือเราไม่ชอบในธุรกิจนี้ ไม่คิดล้มเลิกเพราะมีท่านทั้ง 2 เป็นแรงบันดาลใจการเป็นไดมอนด์สตาร์ที่มีรายได้ต่อเดือน 3 แสนบาทมีบ้านให้กับพ่อแม่รถยนต์ 2 คันคอนโดมิเนียม 2 ที่ และ 14 ทริป การท่องเที่ยวมันคือรางวัลของการยืนหยัด อดทน แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันคือการที่คนที่เรารักหมดห่วงและมั่นใจว่าเราคือหัวหน้าครอบครัวคนต่อไปที่จะดูแลคนทั้งบ้านให้มีความสุข
เคล็ดลับความสำเร็จ
สัญญากับตัวเองว่าจะยืนหยัด 3-5 ปีและรักษาสัญญา
เข้าเรียนรู้อยู่ในบรรยากาศของคนสำเร็จและลงมือทำ
เชื่ออัพไลน์ ซื่อสัตย์กับดาวน์ไลน์ มีพันธะสัญญากับเป้าหมายของตนเอง
2 วันที่แล้ว เมื่อเวลา 5:47 pm