วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

SOL Power Matching Plan

แผนการตลาดของโซลจะมีการเปลี่ยนใหม่เมื่อเริ่มต้นปี 2557 ที่จะถึงนี้
เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคและออกแบบแผนมาเพื่อสอดคล้องกับ
แนวคิดของการเปลี่ยนที่ซื้อและรับเงินคืน ไม่ได้เน้นไปทางธุรกิจทุนนิยม
ที่ต้องปิดรหัสใหญ่ๆ ทีละหลายๆหมื่น แต่เป็นการเปลี่ยนที่ซื้อเพียงหลักพัน
ก็สามารถรับรายได้อย่างไร้ขีดจำกัดได้ ด้วยแผนการตลาดที่เป็นทรงกระบอก ขอดีของแผนใหม่คือ
  1. เน้นเครือข่ายผู้บริโภคอย่างแท้จริง แค่แนะนำผู้บริโภคก็เกิดรายได้
  2. ตำแหน่งเพื่อรับรายได้ 5 ตำแหน่ง สามารถที่จะสะสมได้ตลอดชีวิต ทำให้ทุกคนที่ตั้งใจทำ
    ทุกคนสามารถที่จะไปถึงตำแหน่งสูงสุดเพื่อรับรายได้ครบ 5 รุ่น คือ ตำแหน่ง Femto ได้
  3. ปิดจุดเหลื่อมล้ำของการมีโบนัสที่ไม่ถูกจ่าย ด้วย Compress Roll up
  4. มีโบนัสสาขา ที่จ่ายแบบ Uni-Level ทำให้คนใหม่ มีรายได้เร็วขึ้น จากการแนะนำ บอกต่อๆกันไป
  5. สมาชิกสามารถเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทได้ ไม่ยาก และทำให้การ คงตำแหน่ง มีคุณค่า
  6. ทำให้เกิดการซื้อซ้ำโดยธรรมชาติ เนื่องจากสินค้าดี และทุกคนได้รับรายได้ จึงรักษายอด
    จึงเกิด Passive Income อย่างแท้จริง

SOL COMPANSATION

แผนการจ่ายรายได้ บริษัทโซล คอร์ปอเรชั่น โดยคุณธนะสิทธิ์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
ข้อ Weak Strong จ่ายสูงสุดถึง 34%
โดย Milli ได้ทีมอ่อน 20 / Micro 21 / Nano 22 / Pico 23 / Femto 24 ส่วนทีมแข็งได้ 10% เท่ากันทุกตำแหน่ง
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
หมายเหตุ : ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนการได้รับหุ้นเป็นดังนี้ Ga 1 / Pe 2 / Aq 4 / Am 8 
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
Clover Sol Together ทอม ธเนศ ลีลาภรณ์ นุ๊ก ธนสิทธ์ พรสิริกุลอนันต์
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับแผนธุรกิจ ปรึกษาคนที่ชวนท่านเข้ามาดู Web นี้
หรือหากท่านยังไม่มีผู้แนะนำ ติดต่อผม เพื่อเข้าร่วมทำงาน กับทีมงานมืออาชีพได้ที่
Thai / Whatsapp +66859624142
LAOS +8562096284631
Line / Wechat ID : tumtheclover

ใครเจอเรา คนนั้น โชคดี My name is Prayuth Chatsakda and I'm tumtheclover ^^

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

SOL Hair Celeb & Hair Tonic Before-After

ข่าวดี สำหรับคนที่มีปัญหาต่างๆเหล่านี้
ผมร่วง ผมหงอก ผมบาง ก่อนวัยอันควร
วันนี้ SOL Hair Celeb และ Hair Tonic ช่วยท่านได้

ชุดบำรุงและกระตุ้นการเกิดผม

วิธีใช้
สระผมทุกวันเพื่อเปิดหนังศรีษะ แล้วตามด้วยครีมนวดเพื่อบำรุง
แล้วใช้ Hair Tonic เช้าเย็น เฉพาะส่วนที่ต้องการ
นวดหนังศรีษะหลังใช้ เพื่อให้เซรั่มซึมเข้าไปที่รากผม

เทคนิคเพิ่มเติม
เวลาสระให้ใช้ปลายนิ้วนวดที่หนังศรีษะ
อย่าใช้เล็บในการเกา ให้ใช้การนวดด้วยปลายนิ้ว
การนวดจะช่วยในการชะล้างเซลที่ตายที่แล้ว
ที่ทับถมปิด ปากกระเปาะที่ผมจะขึ้น คือจะช่วย
เคลียร์เส้นทางให้กับผมใหม่ ที่กำลังจะงอกงามออกมา

ประหยัดกว่า การไปเข้าคอร์สปลูกผมแน่นอน ^_^
เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ สำหรับ คนที่มีปัญหาแบบสุดๆ

สนใจติดต่อ คนที่แนะนำให้ท่านเข้ามาดู Blog นี้
หรือหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
Whatsapp/Thai Mobile: +66859624142
Laos Mobile : +8562096284631
Line/Wechat ID: tumtheclover







วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Together Clover go to SOL "โชคดี" ที่เราก้าวไป "ด้วยกัน"

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 พย ที่ผ่านมา ผมและคุณนุ๊กได้ไปลาออกจากบริษัทแล้วครับ 
พวกเราทั้ง 2 คนไม่ได้ถูก Terminate อย่างที่ใครบางคนเข้าใจผิดไป 
หลักฐานคือชื่อของผมยังเป็นตัวสีฟ้าอยู่ในวันที่ผมเขียนใบลาออก (ยอดธุรกิจก็ยังเยอะอยู่) 
ซึ่งหากถูก Terminate ต้องเป็นตัวสีดำไปแล้ว

ผมยื่นใบลาออกอย่างตรงไปตรงมาและได้แนบจดหมายขอบคุณทางบริษัท
ตลอดช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้สมัครเป็นนักธุรกิจ "อิสระ" กับบริษัทใดๆ 
ดังนั้นผมคงยังไม่ได้ทำผิดจรรยาบรรณจนต้องถูก Terminate แต่เนื่องด้วย 
ผมเองได้ตัดสินใจกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในเร็วๆ นี้แล้ว 
ผมจึงลาออกจากบริษัทเดิมเพื่อให้เกิดความถูกต้อง

สาเหตุที่ผมลาออกเพราะ "อะไรบางอย่าง" ซึ่งผมเองคงไม่ได้จะมาชี้แจงเรื่องนี้ใน Post นี้ 
เพราะมันอาจเสียมารยาท ผมบอก "อะไรบางอย่าง" เฉพาะคนในทีมผม
ที่เชื่อใจในตัวผมและคุณนุ๊กเท่านั้น คนอื่นที่เป็น SL ในบริษัท ผมไม่ได้ชวนและบอกใคร 
หากวันนี้เขารู้แสดงว่าเขาพยายามมาถามผมเอง เพราะอาจไม่เชื่อ
เรื่องที่หลายๆคนไปพูดกันต่อ ซึ่งผมเองไม่มีเจตนาที่จะชวนคนอื่นๆ นอกจากทีมของตัวเองเลย 
ผมอยากไปทำเฉพาะทีมตัวเองที่เราก่อตั้งมา 7 ปี แต่... 
ก็มีใครหลายๆคนออกมากล่าวหาพวกเราว่า...

ผมได้ยินมาว่า มีใครบางคนบอกว่า บริษัทใหม่ที่ผมจะไปทำนั้น 
ไม่มีความพร้อมไม่มีความมั่นคงเลย เผลอๆเจ้าของบริษัทมีเงินน้อยกว่าคุณนุ๊กอีก 
แต่เชื่อไหมคนๆ เดียวกันกลับบอกว่าที่คุณนุ๊กกับผมกำลังไปทำที่นั้น เพราะถูกซื้อตัวไป 
ผมเลย งง ในตรรกะที่เขาคิดมากเลยว่า คิดได้งัย มาบอกว่าบริษัทไม่มีเงิน แต่ซื้อตัวคุณนุ๊กไป 
แล้วเขาจะเอาเงินจากไหนมาซื้อตัวละ หากเขาไม่มีเงิน และคำถามที่สำคัญคือท
ำไมเขาถึงเลือกจะมาซื้อตัวคุณนุ๊กหรือผม Why ผม? 
ทำไมเขาไม่ไปซื้อตัวคนที่พูดละครับหรือใครคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะมีใครจะมาซื้อตัว!!

อยากให้คนที่ฟังลองคิดจริงๆ ให้รอบคอบว่า ทำไมคุณนุ๊กหรือผมต้องยอมขายตัวด้วยละครับ 
ผมมีทีมงานที่เชื่อในตัวผมมากๆ ผมว่าเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อความเชื่อมั่นที่ทีมงานมีให้ไม่ได้หรอกครับ 
ดังนั้น เรื่องซื้อตัว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในความเป็นจริง

ผมได้ยินมาว่า มีใครบางคนบอกว่า ผมและคุณนุ๊กโลภมาก ได้ไม่รู้จักพอ 
เขาบอกว่าหากพวกเราย้ายองค์กรทั้งหมดไปที่ใหม่จะมีรายได้มากกว่าเดิมก็เลยย้ายไป 
ผมขอถามคนที่คิดและพูดแบบนั้นกลับว่าถ้าคุณคิดจะย้ายบริษัท
หากคุณมีเหตุผลที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้น คนของคุณจะเชื่อและตามไปทั้งหมดไหม?

ซึ่งหากคุณรู้จักคุณนุ๊กดีพอ ผมว่าคุณนุ๊กเป็นคนไม่ฟุ่มเฟื่อยเลย 
เขาไม่มีทางอยากได้อะไรเพิ่มแน่นอน มีแต่คิดจะอยากให้ทีมงานได้รับเพิ่ม
หรือได้รับในสิ่งที่ควรได้รับเท่าเดิมไม่ใช่ลดลง

ผมได้ยินว่า มีใครบางคนบอกว่า ผมและคุณนุ๊กทะเลาะกับบริษัท
เพราะไปเรียกร้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง พอไม่ได้ก็เลยไม่พอใจชวนทีมตัวเองออกมา 
คนที่พูดและคิดแบบนี้นอกจากจะดูถูกผมและคุณนุ๊กแล้วยังไม่ให้เกียรติคนในทีมของผมและคุณนุ๊กด้วย 
คุณคิดว่าพวกเขาไม่มีสมองหรือความคิดเป็นของตัวเองเลยเหรอครับ 
หากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้คิดเอง เจอเอง ใครเขาจะเห็นด้วยกับเราทั้ง 2 คน 
ซึ่งหากผมและคุณนุ๊กห่วงผลประโยชน์ตัวเอง เราคงออกไปตั้งแต่ปี 52 แล้วคงไม่ใช่ตอนนี้

การที่ผมออกมาชี้แจงเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความร้าวฉานใดๆ 
แต่ผมอยากชี้แจงคนที่อาจเข้าใจผมหรือคุณนุ๊กผิดไป

ซึ่งจริงๆ แล้วคุณจะคิดกับผมยังงัยก็ช่าง ผมไม่ซีเรียส
เพราะหากคุณเป็นคนที่เชื่อเรื่องราวทั้งหมดนั้น แสดงว่าคุณคงไม่ได้รู้จักกับผมดีพอ 
ผมจึงไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคนๆนั้น แต่สำหรับใครที่กำลัง โจมตีคุณนุ๊ก 
ผมว่าหยุดพูดถึงเขาในทางไม่ดีเถอะ ผมรู้จักเขามา 7 ปี 
เขาเป็นคนที่มีแต่ช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด เขาเป็นคนดี เขาไม่คิดอย่างที่ใครบางคนพูดแน่ๆ

และอีกเหตุผลที่ผม Post ข้อความนี้เพราะ ผมอยากบอกใครที่กำลังเครียดมากๆ 
จนต้องแต่งเรื่องราวหรือแสดงความคิดเห็นโจมตีผมหรือคุณนุ๊กว่า "ให้สบายใจ" 
โดยส่วนตัวผมเข้าใจว่าคงเครียด แต่ผมอยากบอกให้สบายใจครับว่า 
ผมจะพยายามบอกทีมของผมว่า อย่าไปชักชวนหรือบอกเรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้น
กับคนที่ยัง Active ในทีมของคนอื่นเลยครับ ผมอยากให้ทั้งคนที่อยู่และคนที่ออกมา
ประสบความสำเร็จด้วยกันหมด คนที่อยู่ผมเชื่อว่าอีกไม่นานต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง
ในทางที่ดีขึ้นในบริษัทแน่นอน ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นและลุยต่อไป เอาเวลาไปจัดทัพ Training 
วางระบบสื่อใหม่ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นดีกว่า คุณยังมีทีมงานอีกมาก
ที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวคุณและบริษัท ดีกว่าเอาเวลาไปคิดเรื่องราวมากล่าวหาผมหรือคุณนุ๊ก

สุดท้ายขออวยพรให้ทุกๆคนโชคดี คนเราต่างมีวิถีทางของตัวเอง 
มีความคิดที่แตกต่างกัน มองต่างกัน ไม่มีใครถูกหรือผิดครับ 
เราควรเคารพความคิดเห็นของทุกๆคน

สำหรับคนที่ยังทำอยู่บริษัทเดิม สู้ต่อไปครับ อย่าพยายามไปถามเรื่องราว
จาก SL ที่ย้ายออกไปเลยครับ เชื่อมั่นในทีมของคุณ ฟังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ 
หากใครเป็นทีมของผมที่คิดจะไปชวนหรือทำให้ใครเสียความเชื่อมั่น 
หากคุณได้อ่าน Post นี้ อยากบอกว่า หยุดเถอะครับ อย่าไปชวนเลย 
ทุกคนก็มีองค์กรของตัวเอง เราไม่ควรไปชวนเขาครับ ชวนแต่คนของคุณเอง

แต่คนของทีมอื่นๆ ก็ต้องอย่าพยายามไปถามเองด้วยนะครับ

ส่วน คนที่อยู่บริษัทอื่นที่พยายามมาชวนผมไปทำบริษัทอื่น 
อยากบอกเลยครับว่า ขอบคุณในความหวังดี แต่อย่าพยายามเลยครับ 
ผมและคุณนุ๊กได้ตัดสินใจไปแล้ว คุณนุ๊กอยู่ไหนผมอยู่ที่นั่น 
เราเลือกกันมาดีแล้ว และข้อมูลที่คุณรู้เกี่ยวกับบริษัทที่เราจะไปทำนั้น
อยากบอกว่าเป็น "ของเก่า" ที่เราจะไปพัฒนาให้เป็น "ของใหม่" แล้วครับ 
ข้อมูลเดิมๆที่คุณรู้มันล้าสมัยไปแล้ว

ติดต่อมาได้หากอยากร่วมงานกัน แต่จะร่วมงานกันได้หรือไม่
คงต้องขอดูแนวทางการทำงานกัน เพราะผมอยากสร้าง "โลกเครือข่ายสีขาวจริงๆ"

ปีหน้าเราจะร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับบริษัทที่เราเลือกแล้วให้ดีที่สุด 
อาจมีสะดุดหรือขุกขระบ้างแต่เราพร้อมจะ "ร่วมทุกร่วมสุข" ไปด้วยกัน

ขอบคุณทุกคนในทีมผมที่เชื่อใจกัน สิ่งที่ผมจะตอบแทนให้กับทุกคนคือ 
"ระบบใหม่ของทีม" ที่จะพัฒนาอย่างที่โลกเครือข่ายไม่เคยมีมาก่อน 
เพื่อช่วยให้เกิดยอดธุรกิจ 1,000++ ล้านในปีหน้าและกว่า 200 ครอบครัวที่ตามมา
มีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนครับ

โชคดีมีมาเสมอ เมื่อเราเตรียมความพร้อมรับโชคดีที่จะมาเยือน
ธเนศ ลีลาภรณ์ ว่าที่นักธุรกิจบริษัท SOL

หากใครสนใจ มาร่วมงานกับ ธุรกิจสีขาวที่ SOL
และต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่
Thai/Whatsapp : +66859624142
Laos : +8562096284631
Line/Wechat ID : tumtheclover

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Thank you and Good bye Aimstar Network

ก่อนอื่นผมและคุณนุ๊กต้องกล่าวขอบคุณบริษัทสำหรับ
สิ่งที่ได้รับตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ผมและครอบครัวเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
ที่บริษัทนี้จริงๆครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

หากถามผมว่าบริษัทมีบุญคุณกับผมไหม ผมบอกเลยว่า "มี" 
มีมากๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้ตลอดที่ผ่านมา 
รวมถึงความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา 
ผมกล้าพูดเลยว่าผมสามารถเป็นนักธุรกิจเครือข่าย
ที่ดูแลองค์กรขนาดใหญ่ได้จากความรู้ที่ได้รับจากที่นี้

หลายคนบอกว่าแล้วการออกไปไม่เป็นการ "ไม่สำนึกบุญคุณ" ของบริษัทเหรอ 
บางคนก็บอกเลยว่าเป็นพวก "เนรคุณ"

ซึ่งผมก็มานั่งคิดๆดูว่า วันนี้หากคนหนึ่งคนทำงานให้บริษัทแห่งหนึ่ง
เขาได้รับเงินเดือน รับรายได้ จนสามารถซื้อรถ ซื้อบ้านได้ 
แน่นอนเขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากบริษัทแห่งนั้น แต่เขาเอง
ก็ต้องทำผลงานได้อย่างดีให้บริษัทแห่งนั้นแน่นอน 
เพราะคงไม่มีบริษัทไหนยอมจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน
ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับบริษัท แต่วันหนึ่งหากพนักงานคนนั้น
จำเป็นต้องเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนบริษัท เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม 
เขาต้องกลายเป็นคนที่ไม่สำนึกบุญคุณหรือเป็นคนเนรคุณเลยเหรอ 
หากคนส่วนมาก คิดเช่นนั้น คนในโลกนี้คงห้ามเปลี่ยนงานกันหมด จริงไหมครับ

ในการทำการค้าก็คงเช่นเดียวกันหากเราเปลี่ยน Partner แล้วเป็นการไม่สำนึกบุญคุณ 
โลกธุรกิจคงไม่มีการเกิดขึ้นของบริษัทใหม่ๆ เพราะทุกคนคงเปลี่ยนคู่ค้าไม่ได้เลย 
ดังนั้นวันนี้ การที่ผมออกจากบริษัทนี้ผมต้องมีเหตุผลแน่นอน 
และผมไม่มีทางลืมสิ่งที่ได้รับจากบริษัทตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน

ซึ่งในโลกของการทำธุรกิจเครือข่าย ผมเองก็มีทีมงานหลายคนที่ออกไปทำธุรกิจอื่นๆ 
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเครือข่ายหรือธุรกิจส่วนตัว ผมเองไม่เคยคิดว่า
ใครที่ออกจากทีมผมไป เป็นคนไม่สำนึกบุญคุณในทีม ผมเองกลับมองตัวเองและทีมด้วยซ้ำว่า 
แสดงว่าเราดูแล "ความสุข" เขาได้ไม่ดีพอ ผมไม่เคยด่าว่าหรือพูดทำร้ายน้ำใจใครที่ออกไป 
ซ้ำยังอวยพรให้ทุกคนที่ตัดสินใจออกไป ให้ไปได้ดีกับอาชีพใหม่ของเขาด้วยซ้ำ 
บางคนก็กลับมาบอกเล่าความสำเร็จให้ผมฟัง ผมยิ่งแสดงความยินดีกับเขา

บางคนมาขออนุญาติขอใช้ความรู้ระบบที่เคยได้รับจากผมไป
ว่าสามารถนำไปใช้ได้ไหม? สงวนลิขสิทธิ์ไหม?
ผมตอบทันทีว่า ยินดีมาก หากมันช่วยให้เกิดประโยชน์ได้ เอาไปได้เลย 
จะเอาไปทั้งหมดหรือเอาไปดัดแปลงต่อยอดก็ได้ ผมถือว่า
หากเขาเอาความรู้ไปช่วยตัวเขาเองและคนในทีมเขาให้ประสบความสำเร็จ 
ผมก็ถือว่าได้ช่วยเขาทางอ้อมด้วย

Post นี้ผมต้องการขอขอบคุณบริษัทและแสดงความคิดเห็นส่วนตัว
หากใครมองผมหรือคุณนุ๊กในมุมมองแบบนั้นครับ

18.30 ผมจะอธิบายเรื่องราวและสิ่งที่หลายๆคนอาจได้รับข้อมูลบางอย่างท
ำให้เข้าใจผมและคุณนุ๊กผิดไป ผมคิดว่าหากรู้จักผมและคุณนุ๊กดีพอ
มันอาจจะไม่ใช่เหมือนที่คุณได้ยินมา รออ่านจากที่ผมบอกเองดีกว่า 
ส่วนจะเชื่อหรือไม่ใช้วิจารณญาณส่วนตัว

ขอบคุณหลายๆคนที่เป็นห่วงความรู้สึก แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เครียดอะไรเลย 
กำลังรู้สึกดีด้วยซ้ำเพราะได้เห็นสีหน้าแววตาของทีมงานที่กลับมามีความหวัง
และชีวิตชีวาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ ^^
รูปภาพ : ก่อนอื่นผมและคุณนุ๊กต้องกล่าวขอบคุณบริษัทสำหรับสิ่งที่ได้รับตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ผมและครอบครัวเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ที่บริษัทนี้จริงๆครับ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

หากถามผมว่าบริษัทมีบุญคุณกับผมไหม ผมบอกเลยว่า "มี" มีมากๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้ตลอดที่ผ่านมา รวมถึงความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมกล้าพูดเลยว่าผมสามารถเป็นนักธุรกิจเครือข่ายที่ดูแลองค์กรขนาดใหญ่ได้จากความรู้ที่ได้รับจากที่นี้

หลายคนบอกว่าแล้วการออกไปไม่เป็นการ "ไม่สำนึกบุญคุณ" ของบริษัทเหรอ บางคนก็บอกเลยว่าเป็นพวก "เนรคุณ" 

ซึ่งผมก็มานั่งคิดๆดูว่า วันนี้หากคนหนึ่งคนทำงานให้บริษัทแห่งหนึ่งเขาได้รับเงินเดือน รับรายได้ จนสามารถซื้อรถ ซื้อบ้านได้ แน่นอนเขามีชีวิตที่ดีขึ้นจากบริษัทแห่งนั้น แต่เขาเองก็ต้องทำผลงานได้อย่างดีให้บริษัทแห่งนั้นแน่นอน เพราะคงไม่มีบริษัทไหนยอมจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับบริษัท แต่วันหนึ่งหากพนักงานคนนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนบริษัท เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม เขาต้องกลายเป็นคนที่ไม่สำนึกบุญคุณหรือเป็นคนเนรคุณเลยเหรอ หากคนส่วนมาก คิดเช่นนั้น คนในโลกนี้คงห้ามเปลี่ยนงานกันหมด จริงไหมครับ

ในการทำการค้าก็คงเช่นเดียวกันหากเราเปลี่ยน Partner แล้วเป็นการไม่สำนึกบุญคุณ โลกธุรกิจคงไม่มีการเกิดขึ้นของบริษัทใหม่ๆ เพราะทุกคนคงเปลี่ยนคู่ค้าไม่ได้เลย ดังนั้นวันนี้ การที่ผมออกจากบริษัทนี้ผมต้องมีเหตุผลแน่นอน และผมไม่มีทางลืมสิ่งที่ได้รับจากบริษัทตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน

ซึ่งในโลกของการทำธุรกิจเครือข่าย ผมเองก็มีทีมงานหลายคนที่ออกไปทำธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเครือข่ายหรือธุรกิจส่วนตัว ผมเองไม่เคยคิดว่าใครที่ออกจากทีมผมไป เป็นคนไม่สำนึกบุญคุณในทีม ผมเองกลับมองตัวเองและทีมด้วยซ้ำว่า แสดงว่าเราดูแล "ความสุข" เขาได้ไม่ดีพอ ผมไม่เคยด่าว่าหรือพูดทำร้ายน้ำใจใครที่ออกไป ซ้ำยังอวยพรให้ทุกคนที่ตัดสินใจออกไป ให้ไปได้ดีกับอาชีพใหม่ของเขาด้วยซ้ำ บางคนก็กลับมาบอกเล่าความสำเร็จให้ผมฟัง ผมยิ่งแสดงความยินดีกับเขา 

บางคนมาขออนุญาติขอใช้ความรู้ระบบที่เคยได้รับจากผมไป 
ว่าสามารถนำไปใช้ได้ไหม? สงวนลิขสิทธิ์ไหม?
ผมตอบทันทีว่า ยินดีมาก หากมันช่วยให้เกิดประโยชน์ได้ เอาไปได้เลย จะเอาไปทั้งหมดหรือเอาไปดัดแปลงต่อยอดก็ได้ ผมถือว่าหากเขาเอาความรู้ไปช่วยตัวเขาเองและคนในทีมเขาให้ประสบความสำเร็จ ผมก็ถือว่าได้ช่วยเขาทางอ้อมด้วย

Post นี้ผมต้องการขอขอบคุณบริษัทและแสดงความคิดเห็นส่วนตัวหากใครมองผมหรือคุณนุ๊กในมุมมองแบบนั้นครับ

18.30 ผมจะอธิบายเรื่องราวและสิ่งที่หลายๆคนอาจได้รับข้อมูลบางอย่างทำให้เข้าใจผมและคุณนุ๊กผิดไป ผมคิดว่าหากรู้จักผมและคุณนุ๊กดีพอมันอาจจะไม่ใช่เหมือนที่คุณได้ยินมา รออ่านจากที่ผมบอกเองดีกว่า ส่วนจะเชื่อหรือไม่ใช้วิจารณญาณส่วนตัว 

ขอบคุณหลายๆคนที่เป็นห่วงความรู้สึก แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เครียดอะไรเลย กำลังรู้สึกดีด้วยซ้ำเพราะได้เห็นสีหน้าแววตาของทีมงานที่กลับมามีความหวังและชีวิตชีวาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ ^^

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Fit&Firm by tumtheclover

Fit&Firm by tumtheclover
การลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่กลับมาอ้วนอีก ^_^

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ชื่อ ตุ้มครับ
เป็นคนๆหนึ่ง ซึ่งเคยทานอาหารเสริมมาแล้ว ลดได้เล็กน้อย
ซักพัก ก็กลับมาอ้วนอีก จนรู้สึกว่า
อาหารเสริมทานไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่

จนวันหนึ่ง ตุ้ม มีโอกาสได้เข้าคอร์สๆหนึ่ง
ชื่อว่า คอร์ส The Utmost 10 Fit&Firm Talents ของบริษัท
จึงได้รู้ว่า ที่เราลดน้ำหนักไม่ได้ เป็นเพราะเรายังไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง
ตุ้มได้เข้าคอร์สนี้ ใช้เวลา 45 วัน ลดไปได้ 7 กิโลกรัม
ถ้านับตั้งแต่เริ่มลด ก็ประมาณ 60 วัน ลดไปได้ 10 กิโลกรัม
วิธีการ คืออะไร ??? วันนี้ ตุ้มจะขอนำแนวคิดที่ได้จากคอร์สมาฝากครับ

แนวคิดในการลดน้ำหนักนั้น
สิ่งที่สำคัญ จะมีอยู่ทั้งหมด 5 กระบวนการครับ

1. หาแรงบันดาลใจของตัวเองให้เจอก่อนครับ
ว่าคุณจะลดน้ำหนักไปทำไม ? ลดเพื่อสุขภาพ ? ลดเพื่อหุ่นดี ? ลดเพื่อหาแฟน !!!
ลดเพื่ออะไรก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญคือ คุณต้องมี ทำไมที่ใหญ่พอ
คุณต้องมีความอยากที่มากพอ ในการที่คุณจะลดน้ำหนักครับ
เพราะถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก แต่เจอขนมหวาน คุณก็อยากกิน
มันก็อยู่ที่ว่า ความอยากอันไหน จะใหญ่กว่ากันนั่นเอง
ถ้าคุณอยากลดมากกว่า คุณจะห้ามใจตัวเองไม่ให้กินได้
แ่ต่ถ้าแรงบันดาลใจคุณไม่ชัด คุณก็จะห้ามใจตัวเองไม่ได้ คุณก็จะกินนั่นเอง

ดังนั้น สำคัญมากๆ ครับ สำหรับข้อ 1 คือ หาทำไม ที่ใหญ่พอให้ได้
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ตอนที่ผมเข้าคอร์ส The Utmost 10 นี้
อันดับ 1-3 ที่ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะได้รับ New Ipad 32GB Wifi ฟรี 1 เครื่อง !!!
ตอนนั้น ผมกำลังอยากได้มากๆ แต่ถ้าจะให้เอารายได้ที่มี ณ ตอนนั้นไปซื้อ
ก็คงจะลำบาก ดังนั้น ผมจึงตั้งปณิธาณเอาไว้กับตัวเองเลยว่า ผมจะต้องตั้งใจสุดๆ
เพื่อจะได้ มี Ipad มาใช้ เพื่อทำธุรกิจ และเพื่อใช้ส่วนตัว
แรงบันดาลใจผมชัดมาก ว่าผมจะต้องได้มันมาให้ได้ นี่ล่ะครับ ทำไมที่ใหญ่พอของผม
สุดท้าย ผมก็เป็น คนแรก ที่ได้รับ เครื่อง New Ipad มาใช้
ซึ่งก็ช่วยให้ชีวิตผมสะดวกสบาย และเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมได้เยอะมากเลย

ดังนั้น อย่าลืมครับ อันดับแรก หากคุณต้องการลดน้ำหนัก
สิ่งที่คุณต้องทำ คือ หาแรงบันดาลใจตัวเองให้เจอ
หา " ทำไม " ที่ใหญ่พอ ให้เจอก่อนครับ

2. กินให้น้อยกว่า พลังงานที่ต้องการรับ

สำหรับ ขั้นตอนนี้ คุณต้องรู้ก่อนครับ ว่า พลังงานที่คุณต้องการในแต่ละวันคือเท่าไหร่

ดังนั้น คุณต้องรู้จัก 2 คำนี้ก่อนครับ คือ BMI และ BMR
เนื้อหาค่อนข้างยาวนะครับ หากยังไม่รู้จัก แนะนำให้อ่านก่อน อย่ารีบขี้เกียจอ่านครับ
เพราะถ้าอยากลดน้ำหนัก แต่แค่อ่านข้อมูลตรงนี้ ยังขี้เกียจอ่าน
ผมบอกได้เลยว่า ลดไม่ได้ชัวร์ 555

คำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)
การวัดดัชนีมวลร่างกาย Body Mass Index (BMI) คือ
อัตราส่วนระหว่างน้ำหนักต่อส่วนสูง ที่ใช้บ่งว่าอ้วนหรือผอม
ในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย
เพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ถ้าค่าที่คำนวนได้ มากหรือน้อยเกินไป
เพราะถ้าเป็นโรคอ้วนแล้ว จะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ในขณะเดียวกัน
ผู้ที่ผอมเกินไป ก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง
ดังนั้นควรรักษาระดับน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

วิธีคำนวณดัชนีมวลกาย Body Mass Index (BMI)

สูตรคำนวณดัชนีมวลกายคือ [ดัชนีมวลกาย= น้ำหนักตัว / ความสูง ยกกำลังสอง]
40 หรือมากกว่านี้ : โรคอ้วนขั้นสูงสุด
35.0 - 39.9: โรคอ้วนระดับ2 คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วน
หากคุณมีเส้นรอบเอวมากกว่าเกณฑ์ปกติคุณจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง
คุณต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างจริงจัง
28.5 - 34.9: โรคอ้วนระดับ1 และหากคุณมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม.(ชาย) 80 ซม.(หญิง)
คุณจะมีโอกาสเกิดโรคความดัน เบาหวานสูง จำเป็นต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
23.5 - 28.4: น้ำหนักเกิน หากคุณมีกรรมพันธ์เป็นโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง
ต้องพยายามลดน้ำหนักให้ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23
18.5 - 23.4: น้ำหนักปกติ และมีปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ มักจะไม่ค่อยมีโรคร้าย
อุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงต่ำกว่าผู้ที่อ้วนกว่านี้
น้อยกว่า 18.5: น้ำหนักน้อยเกินไป ซึ่งอาจจะเกิดจากนักกีฬาที่ออกกำลังกายมาก
และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
และมีปริมาณพลังงานเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

คำนวณการเผาผลาญพลังงาน Basal Metabolic Rate (BMR)
Basal Metabolic Rate (BMR) คือ อัตราการความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน
หรือจำนวนแคลอรี่ขั้นต่ำที่ต้องการใช้ในชีวิตแต่ละวัน ดังนั้นการคำนวณ BMR
จะช่วยให้คุณคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่ใช้ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนักปัจจุบันได้
และเมื่ออายุมากขึ้นเราจะควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น เพราะ BMR เราลดลง
การอดอาหารก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ BMR ลดลง วิธีป้องกันคือ "หมั่นออกกำลังกาย"
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเผาผลาญ ซึ่งจะทำให้ BMR ไม่ลดลงเร็วเกินไป
คำนวณการเผาผลาญพลังงาน Basal Metabolic Rate (BMR)
 
BMR (Basal Metabolic Rate) พลังงานที่จำเป็นพื้นฐานในการมีชีวิต
TDEE (Total Daily Energy Expenditure) พลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน

วิธีคำนวณการเผาผลาญพลังงาน Basal Metabolic Rate (BMR)

สูตรคำนวณอัตราการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวันคือ
สำหรับผู้ชาย : BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ)
สำหรับผู้หญิง : BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)
จะสังเกตได้ว่าน้ำหนัก ส่วนสูงและอายุมีผลต่อการเผาผลาญพลังงาน
เมื่อหาค่า BMR (Basal Metabolic Rate) มาแล้วเราก็จะสามารถรู้ได้ว่า
เรามีการการเผาผลาญพลังงานโดยไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยเท่าไร
แต่หากเรามีกิจกรรมอย่างออกกำลังกายจะมีการเผาผลาญพลังงานโดยคำนวณได้ดังนี้

"การเผาผลาญพลังงานโดยปกติ = BMR x ตัวแปร"
โดยตัวแปรของเราจะขึ้นอยู่กับการออกกำลังของเราดังนี้
นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย = BMR x 1.2
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย ประมาณอาทิตย์ละ 1-3 วัน = BMR x 1.375
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน = BMR x 1.55
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก ประมาณอาทิตย์ละ 6-7 วัน = BMR x 1.725
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น = BMR x 1.9

ถ้าไม่อยากคำนวณเอง ก็เข้า Web ไปคำนวณได้เลยครับ
kcal.memo8.com

บางคนถามว่า แล้วทำไม ไม่บอกก่อนหน้านี้
เพราะถ้าผมบอกก่อน บางคนจะใช้ทางลัดคำนวณเลย โดยไม่ยอมอ่านไงครับ
การลดความอ้วน ไม่มีทางลัดครับ มีแต่ทางเร็ว ^_^

ยกตัวอย่าง ผมเอง สูง 173 หนัก 76.5 ตีไปว่า 77 ละกัน ณ ปัจจุบัน
คำนวณ ออกมาจะได้ค่าดังนี้ครับ

BMR (Basal Metabolic Rate) พลังงานที่จำเป็นพื้นฐานในการมีชีวิต
1768 กิโลแคลอรี่
TDEE (Total Daily Energy Expenditure) พลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน
2431 กิโลแคลอรี่

เท่ากับว่า ผมรู้แล้วครับ ว่าผมต้องการพลังงานวันละประมาณ 1768 กิโลแคลอรี่
แต่ผมมีการใช้พลังงานด้วย จากการออกกำลังกายเล็กน้อย อาทิตย์ละ 1-3 วัน
ดังนั้น ผมจึงมี TDEE เท่ากับ 2431 กิโลแคลอรี่

ดังนั้น ถ้าผมกินให้น้อยกว่า 2431 กิโลแคลอรี่ได้ ผมก็จะไม่อ้วนขึ้นครับ
แต่ แค่ไม่อ้วนขึ้นนะครับ ไม่ถึงกับ ทำให้ผอมลง
เพราะ พลังงานประมาณ 500-700 กิโลแคลอรี่ เท่ากับน้ำหนักประมาณ 1 ขีดครับ
ดังนั้น ถ้าผมทานวันละ 1700 กิโลแคลอรี่ ก็จะลดลง 1 ขีด / วัน
ถ้าผมทานวันละ 1000 กิโลแคลอรี่ ก็จะลดลง 2 ขีด / วัน
ถ้าผมทานวันละ 300 กิโลแคลอรี่ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน) ก็จะลดลง 3 ขีด / วัน

พอเห็นภาพนะครับ ดังนั้น การรู้พลังงาน คร่าวๆ ของอาหารที่เรากิน
จึงเป็นสิ่งสำคัญครับ เดี๋ยวนี้ มี web ให้ความรู้เยอะแยะครับ
ว่า อาหารแต่ละอย่าง ให้พลังงานประมาณ กี่ กิโลแคลอรี่
ก่อนกินขนม ก่อนกินอาหาร พยายามเช็คก่อนครับ ว่าวันนี้ คุณกินเกินไปแล้วหรือยัง ^_^

3. ใช้ให้เยอะ กว่า พลังงานที่ต้องการใช้

อย่างที่บอกครับ เรารู้อยู่แล้วว่า BMR เราืคือเท่าไหร่ TDEE เราคือเท่าไหร่
ดังนั้น ถ้าเรากินเยอะ แต่ใช้น้อย ก็อ้วนแน่นอน
ดังนั้น การออกกำลังกาย การสร้างกล้ามเนื้อ จะทำให้ร่างกายเราต้องใช้พลังงานเยอะขึ้น
ถ้าเรากินน้อย แต่ใช้เยอะ ร่างกายเราก็จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกตัวอย่างดังนี้

ถ้าตุ้มต้องใช้ พลังงาน วันละ 2431 กิโลแคลอรี่
ตุ้มกินเข้าไปวันนี้ 2400 กิโลแคลอรี่ ตุ้มก็จะน้ำหนักทรงๆ
ตุ้มกินเข้าไปวันนี้ 3000 กิโลแคลอรี่ ตุ้มก็จะน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ขีด
ตุ้มกินเข้าไปวันนี้ 1700 กิโลแคลอรี่ ตุ้มก็จะน้ำหนักลงประมาณ 1 ขีด

แต่ถ้า ตุ้ม ออกกำลังกาย เพิ่มเข้าไปด้วยล่ะ?
ปกติต้องใช้ 2431 แต่ออกกำลังเพิ่มการใช้พลังงานไปอีกซัก 300
ดังนั้น พลังงานที่ใช้ ก็จะกลายเป็น 2731
ถ้ากินเข้าไปวันนี้ 2400 กิโลแคลอรี่ เหมือนเดิม น้ำหนักก็จะลดลงหน่อยนึง

พอเห็นภาพไหมครับ ?

ถ้าวันนี้ คุณทำ 3 ข้อแรกได้
หาแรงบันดาลใจให้เจอ กินให้น้อยกว่าที่กิน ใช้ให้เยอะกว่าที่ใช้
ยินดีด้วยครับ คุณไม่ต้องอ่านข้อ 4 และ ข้อ 5 ต่อแล้ว
แต่หากคุณบอกว่า มันยากเหลือเกิน การกินให้น้อยลง
เพราะของกินทุกวันนี้ มันก็อร่อยซะเหลือเกิน เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด
การออกกำลังกาย ก็แสนจะยากลำบาก ไม่มีเวลาจะออกกำลังกายได้ทุกวัน

ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณต้องทำ ข้อ 4 เพิ่มครับ

4. ใช้อาหารเสริมที่ดี เป็นตัวช่วยในช่วงแรก

เพราะอาหารเสริมที่ดี จะช่วยทำให้การลดน้ำหนักของคุณเห็นผลได้ไวขึ้น
แต่คุณต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่า อาหารเสริมที่ดีนั้น คือ อาหารเสริมที่คุณได้กิน
ดังนั้น ซื้อมาแล้ว ไม่กิน ก็เหมือนไม่ได้ซื้อนะครับ
สำคัญมากๆ คือ คุณต้องมีวินัยในการกิน การออกกำลังกาย และการกินอาหารเสริมด้วย

เพราะอาหารเสริมที่ดี จะเป็นเหมือนตัวคูณ ช่วยในการลดน้ำหนักครับ
เช่น ถ้าปกติ คุณจะลดได้ประมาณ 1-2 กิโล ใน 1 เดือน ก็อาจจะกลายเป็น 3-6 กิโลได้
แต่ถ้าปกติ คุณจะลดไม่ได้อยู่แล้ว คือลดได้ 0 กิโล การทานอาหารเสริมเข้าไป ก็อาจช่วยอะไรไม่ได้
เพราะ 0 คูณอะไร ก็ได้ 0 ครับ

คำถามคือ แล้วจะเลือกทานอาหารเสริม ยี่ห้อไหนดี อันนี้ แล้วแต่แล้วครับ
สำคัญเอาที่มี มาตรฐาน อย. และมีคนทานแล้วเห็นผล แล้วเค้าแนะนำคุณได้ครับ
อย่างตัวตุ้มเอง ตุ้มเลือกทานอาหารเสริมของ Vital Star ครับ

คราวนี้ มาที่ วิธีการทานอาหารเสริมก่อน
เค้าว่ากันว่า การทานอาหารเสริมแล้วไม่เห็นผล หลักๆจะมี 2 สาเหตุครับ
1. กินไม่ถูกวิธี ยกตัวอย่างเช่น บอกให้กินก่อนอาหาร 30 นาที
แต่ว่า ไม่มีวินัยในการกินอาหารเสริม ไปกินหลังอาหารแทน หรือบางทีก็ไม่กินเลย
หรือบางที บอกให้ทาน 3 เม็ด บอกว่า ไม่เอา กลัวเปลือง ก็เลยทานเม็ดเดียว
ก็เลยไม่เห็นผล สิ่งหนึ่งที่ตุ้มอยากบอกเพื่อนๆคือ วันนี้ การทานอาหารเสริมนั้น
ยิ่งกลัวเปลือง ยิ่งเปลืองครับ คือยังไง คือ กินน้อยๆ เพราะกลัวเปลือง
สุดท้าย ก็เลยไม่เห็นผล คราวนี้ ก็เลยเปลืองจริงๆ เลยครับ
ดังนั้น กินแบบจัดเต็มไปเลยครับ เอาให้ถูกวิธี ตามที่มีคนแนะนำ แล้วเห็นผล
แบบนี้สิ ถึงจะไม่เปลือง จริงไหมครับ ^_^

2. ร่างกายไม่ดูดซึม เคยได้ยินคำว่า You are what you eat ไหมครับ
แต่ถ้าจะเอาจริงๆ ผมว่า อาจไม่ถูกเท่าไหร่ You are what you absorb ต่างหาก
คือวันนี้ กินเข้าไปเท่าไหร่ ไม่สำคัญว่า ร่างกายดูดซึมได้เท่าไหร่
ดังนั้น ก่อนจะเริ่มต้นทานอาหารเสริมใดๆ ก็ตาม
ไม่ว่า จะเป็นอาหารเสริมในหมวดสุขภาพ ผิวพรรณ หรือควบคุมรูปร่าง
ผมแนะนำใหุ้คุณทาน อาหารเสริมที่ช่วยในเรื่องของการ Detox ลำไส้ก่อนครับ
เพื่อให้ร่างกายคุณ ดูดซึม อาหารเสริมที่ทานเข้าไปได้ดีขึ้นแน่นอน
สำหรับ Vital Star ตัวที่ผมแนะนำคือ

Oligo Fiber ครับ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการ ทำความสะอาดลำไส้
ทำให้ลำไส้ของเราสะอาด สามารถดูดซึม สารอาหารต่างๆ ได้ดีมากขึ้น
รสชาติ เหมือนทานน้ำสัปปะรดครับ เปรี้ยวๆ อร่อยดี สำหรับคนชอบทานเปรี้ยวครับ

วิธีการทาน สูตร Detox ที่ผมแนะนำคือ ทาน 2 กล่องต่อเนื่องครับ
1 กล่องจะมี 10 ซอง ดังนั้น 2 กล่อง ก็จะมี 20 ซอง
ฉีก 1ซอง ผสมน้ำแล้วชงให้ละลาย แล้วรีบทานทันทีครับ แล้วดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว
ให้ทานให้หมด ภายใน 1 สัปดาห์ครับ โดยทานดังนี้

3 วันแรก วันละ 4 ซอง อาจจะเป็น ก่อนอาหารเช้า/กลางวัน/เย็น และก่อนนอน
4 วันต่อมา วันละ 2 ซอง อาจจะเป็น ก่อนอาหารกลางวัน / เย็น

ตรงนี้ คือสูตรในการ Detox ร่างกายครับ แล้วหลังจากนั้นทุกๆ 3/4/6 เดือน
คุณค่อยทานสูตรนี้ อีกครั้งหนึ่งครับ ^_^

ทีนี้หลังจาก ลำไส้ เราดูดซึมได้เต็มที่แล้ว
มารู้จักอาหารเสริม Vital Star ที่ผมใช้ในการ ลดน้ำหนัก 10 กิโล ใน 2 เดือนบ้าง

1. AG Bloc เป็นอาหารเสริม ที่ช่วยในการป้องกันการเปลี่ยนแป้งไปเป็นพลังงานครับ
กินเท่าเดิม แต่ร่างกายดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้น้อยลง ก็เลยได้รับพลังงานน้อยลงครับ

2. 6L เป็นอาหารเสริม ที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงานให้เพิ่มมากขึ้นครับ
ทำกิจกรรมเท่าเดิม แต่ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้น ก็เลยใช้พลังงานเพิ่มขึ้นครับ

3. Oligo Fiber เป็นอาหารเสริม ที่ช่วยในการ Detox และทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น
ร่างกายดูดซึมอาหารเสริมได้ดีขึ้น ช่วยให้อาหารเสริม ทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
และตัว Oligo Fiber ยังช่วยให้เราอิ่มเร็วขึ้น ทำให้ความอยากอาหารน้อยลงครับ

4. Multipro เป็นอาหารเสริม ที่เป็นโปรตีนผสม 6 ชนิด
ถั่วเหลือง ช่วยระบบหลอดเลือดและหัวใจ
Whey Protein ช่วยเรื่องเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มการเผาผลาญ
คอลลาเจนจากปลา ช่วยเรื่อง ระบบไขข้อกระดูก และระบบผิวพรรณ
ฺBCAA ช่วยเรื่องควบคุมน้ำหนักส่วนเกิน บำรุงตับ
Creatine ช่วยเรื่องความจำและสมอง
Milk Protein Hydrolysate ช่วยเรื่องลดระดับความเครียด
ที่สำคัญ มัลติโปร ยังมีสารที่ชื่อว่า Wellmune ช่วยให้เม็ดเลือดขาวเราต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้นด้วย
ช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้นอีกด้วย

บางคนสงสัยว่า ทำไม ต้องทานโปรตีนด้วย
ผมเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า วันนี้ การคุมน้ำหนัก
ด้วยการควบคุมการทาน มันก็เปรียบเหมือนงาน Active ที่เราต้องทำถึงจะได้
ส่วนการเพิ่มกล้ามเนื้อในร่างกาย ด้วยการทานโปรตีน และออกกำลังกาย
ก็เปรียบเหมือนงาน Passive ที่เมื่อเราสะสมมาถึงจุดๆหนึ่ง เราไม่ต้องทำเพิ่มก็ยังช่วยได้
เพราะเมื่อร่างกายเรา มีกล้ามเนื้อเยอะ ร่างกายเราก็ต้องใช้พลังงานเยอะไปด้วยนั่นเอง

วิธีการทานอาหารเสริม ที่ผมใช้ (ตรงนี้ ปรึกษาโค้ชของคุณนะครับ
แนวทางอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคลครับ) คือ

มื้อเช้า ทานตามปกติครับ ไม่กินอาหารเสริมใดๆ เลย

มื้อกลางวัน ก่อนมื้ออาหาร 30-45 นาที ผมทาน AG Bloc/6L อย่างละ 2-3 เม็ดครับ

มื้อเย็น ก่อนมื้ออาหาร 60 นาที ผมทาน Oligo 1 ซอง
         ก่อนมื้ออาหาร 30-45 นาที ผมทาน AG Bloc/6L อย่างละ 2-3 เม็ดครับ

(แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่า มื้อไหน คุณจะไม่ค่อยได้ทานแป้ง คุณอาจจะไม่ทาน AG Bloc ก็ได้
 ถ้ามื้อไหน คุณรู้ตัวว่า มื้อนี้ คุณต้องไปทานบุฟเฟ่ต์ ต้องจัดหนัก
 คุณก็อาจจะจัดหนักอาหารเสริม เพิ่มปริมาณ เป็น 4-6 เม็ด ก่อนมื้ออาหารก็ได้
 ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ตามความเหมาะสมครับ)

ตอนกลางคืน ปกติ ผมจะใช้เวลาในการออกกำลังกายก่อนนอนครับ
โดยก่อนออกกำลังกาย ผมจะทาน มัลติโปร 1 Serving ครับ
ผมจะซิทอัพ และวิดพื้น เริ่มจากวันละน้อยๆครับ เอาเท่าที่เราทำได้
แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆครับ อย่าฝืนตัวเองเยอะ แต่ต้องฝืนนิดหน่อย
พอให้ร่างกายได้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อครับ
หลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้ว พักซักครู่ แล้วผมจะทาน มัลติโปรอีก 1 serving ครับ
(ตรงนี้ คุณต้องหาเวลาที่คุณสะดวกออกกำลังกาย ตามเวลาของคุณนะครับ)

ถ้าหิวเวลาดึกๆ ผมแนะนำให้ทาน Multipro ครับ ผสมน้ำเปล่าทานนะครับ
อย่าผสมกับนม เพราะจะได้พลังงานเยอะเกินไปก่อนนอนครับ

อันนี้ คือ สูตร การทานอาหารเสริม ที่ผมใช้ ประกอบกับ ข้อ 1-3 ครับ
คือในระหว่างที่ตุ้มลดน้ำหนักนั้น
1. ตุ้มมีแรงบันดาลใจที่ชัดเจนครับ ว่าตุ้มต้องลดให้ได้ เพื่อสุขภาพ และ Ipad อิอิ
2. ตุ้มควบคุมอาหารที่กินในแต่ละวันครับ ดูพลังงานอาหารที่กิน
ไม่ได้ถึงขั้นว่า ห้ามกินของหวาน ห้ามกินของมันเลย แต่ถ้าเว้นได้ ก็พยายามเว้นก่อน
ที่สำคัญที่สุดคือ อย่ากินให้เกินพลังงาน ที่ตัวเองกำหนดไว้ครับ
อย่างตุ้มนั้น ช่วงลดน้ำหนัก กำหนดไว้ให้ตัวเองกินได้วันละไม่เกิน 1300 กิโลแคลอรี่ครับ
3. ตุ้มมีวินัยในการออกกำลังกายเพิ่มครับ วันละเ็ล็กๆน้อยๆ แต่พยายามออกทุกวันครับ
4. ตุ้มทานอาหารเสริมอย่างมีวินัย

ผลจากการที่ตุ้มทำ ทั้ง 4 ข้อนี้ อย่างมีวินัย ทำให้ตุ้มลดได้ 10 กิโลใน 2 เดือนครับ
ปัญหาคือ ตุ้มก็เคยลดได้มาก่อน แต่ก็กลับมาอ้วนใหม่
แต่ครั้งนี้ ทำไม ถึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่า yoyo effect นั่นเป็นเพราะข้อ 5. ครับ

5. ค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคของตัวเอง

เรารู้แล้วว่า เราควรทานเท่าไหร่ เรารู้แล้ว ว่าเราควรออกกำลังกายยังไง
ถ้าเราควบคุมตัวเองให้กินพอดีๆ ออกกำลังกายพอดีๆ ได้
เราเน้นทานมื้อเช้าอย่างราชา มื้อเที่ยงทานปกติ และมื้อเย็นทานอย่างยาจก
เราหาเวลาออกกำลังกายวันละเล็ก วันละน้อย
เราพยายามงดอาหารประเภทแป้ง และของมัน ของทอด ของหวาน หลังจากช่วงเย็น
(เพราะช่วงเย็น ร่างกายเราจะไม่ค่อยได้ใช้พลังงานแล้ว ถ้าทานตอนนั้น สะสมล้วนๆครับ)

เราก็จะสามารถที่จะลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่กลับมาอ้วนอีกนั่นเอง

ตุ้มทาน Set อาหารเสริมไป ประมาณ 2 เดือน (ก.ค.55-ส.ค.55)
จาก 89 กิโลกรัม ลดไปประมาณ 10 กิโล เหลือ 79 กิโลกรัม
หลังจากนั้น ตุ้มก็ไ่ม่ได้ทาน Oligo/AG/6L ทุกวัน
แต่มีทาน Oligo บ้างเพื่อ Detox
และทาน AG/6L บ้าง เวลาออกไปทานบุฟเฟ่ต์
ทาน Multipro สม่ำเสมอ เพราะร่างกายเราขาดโปรตีนอยู่แล้ว
ผ่านไป 1 ปีกว่าๆ น้ำหนักตุ้มก็ไม่กลับมาอ้วนอีก
และตอนนี้ ตุ้มหนักอยู่ที่ประมาณ 76-77 กิโลกรัม

สุดท้ายตุ้มฝากเอาไว้่ว่า

" อยากหุ่นดีมีเหมือนกันทุกคน แต่ความมุ่งมั่นอดทน มีไม่เท่ากัน"

เชื่อว่า ตุ้มทำได้ ถ้าเพื่อนๆ มี แนวคิดในการลดน้ำหนัก 5 ข้อนี้เช่นกัน เพื่อนๆ ก็ทำได้ครับ

หากมีข้อมูลตรงไหน อยากติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
สอบถามได้ ทาง line id : tumtheclover ยินดีให้คำปรึกษาครับ ^_^

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ ทุกคนที่อยากหุ่นดีนะครับ
My name is Prayuth Chatsakda and I'm Clover


วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Noon-Jude The Clover

Avatar
Noon The Clover Ruby Kanogart758
หากวันนี้คุณมีเพื่อนคู่สามีภรรยาที่ทั้งคู่จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Top 10 ในอเมริกา เคยทำงานเป็นนายธนาคารในไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยให้กับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ช่วงสิบกว่าปีหลังทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ สามีมีธุรกิจของตนเองที่สหรัฐอเมริกา ภรรยาทำงานบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่นั่น รายได้รวมกับเฉียดล้านบาท คุณคิดว่าคุณอยากจะลองชวนเพื่อนคู่นี้มาทำธุรกิจเอมสตาร์หรือไม่

เคล็ดลับความสำเร็จอย่างหนึ่งของธุรกิจเอมสตาร์คืออย่าคิดแทนใครว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ชวนไปเขาคงไม่ทำหรอก เราทั้งสองคนต้องขอขอบคุณคุณรัฐและคุณแหม่มที่ไม่ได้คิดแทนว่าเราจะสนใจหรือไม่สนใจในธุรกิจเอมสตาร์ และได้มาเปิดโอกาสธุรกิจดีๆแบบนี้ให้กับเรา ตอนที่คุณรัฐมาเล่าให้เราฟังเป็นช่วงที่เอมสตาร์กำลังจะเปิดสำนักงานในอเมริกาพอดี คุณรัฐก็เลยเอาโอกาสนี้มาเปิดให้เรา เผื่อเราสนใจจะได้ช่วยกันขยายธุรกิจที่นั่น เราทั้งสองเป็นคนเปิดรับโอกาสชีวิตอยู่แล้วก็เลยได้ลองเริ่มทำที่นั่น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณรัฐไม่รู้ก็คือเราทั้งสองกำลังมองหาธุรกิจที่จะทำให้เราย้ายบ้านกลับมาเมืองไทยได้ด้วยเพราะเราคิดถึงบ้าน แต่แน่นอนครับมันต้องเป็นธุรกิจที่ดีพอและใหญ่พอที่จะทำให้เรากล้าตัดสินใจทิ้งสิ่งที่เรามีอยู่ที่นั่นเพื่อกลับมา และอีกสิ่งหนึ่งที่เรามองหาคือมันต้องเป็นธุรกิจที่เราสร้างเสร็จแล้วไม่ต้องไปนั่งเฝ้าทุกวันแต่เป็นธุรกิจที่สามารถดูแลตัวมันเองและสามารถให้รายได้แบบ Passive Income ให้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต และเราก็ได้พบคำตอบนี้ในธุรกิจเอมสตาร์

นอกจากจะสามารถทำให้เราย้ายกลับมาเมืองไทยได้แล้ว เอมสตาร์ยังสามารถทำให้เราเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเครือข่ายนานาชาติได้อีกด้วย ปัจจุบันเครือข่ายเราครอบคลุมประเทศไทย ลาว พม่า ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และในอนาคตเครือข่ายเราก็จะขยายไปอีกหลายประเทศที่เอมสตาร์จะไปเปิดสำนักงาน

มีหลายคนมาถามเราว่ารายได้เราได้ในปัจจุบันมันคุ้มกับสิ่งที่เราทิ้งมาหรือ ตำตอบคือ ณ ขณะนี้อาจจะยังก็เพราะเรายังสร้างธุรกิจนี้ไม่เสร็จยังไงล่ะ แต่เราทราบดีว่าเมื่อถึงวันที่เราสร้างมันเสร็จมันจะคุ้มเกินคุ้มเสียอีก ถ้าเพื่อนๆลองใช้วิสัยทัศน์ในการประเมินธุรกิจนี้ดู จะมีธุรกิจอะไรที่สามารถให้ผลตอบแทนในขนาดที่เอมสตาร์ให้ได้ด้วยความเสี่ยงที่แทบจะไม่มี

ถ้าเราไม่ทำเอมสตาร์เราก็ต้องหาธุรกิจอื่นที่อาจต้องลงทุนหลายสิบล้านบาทเพื่ิอที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่เอมสตาร์ให้ และไม่ว่าธุรกิจอื่นนั้นจะเป็นอะไรผลตอบแทนในเบื้องต้นก็จะยังไม่คุ้มอยู่ดีเพราะทุกธุรกิจต้องใช้เวลาสร้าง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือลงทุนไปหลายสิบล้านนั้นเป็นความเสี่ยงมหาศาลและก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเราจะคืนทุนกลับมาได้กำไร ส่วนธุรกิจเอมสตาร์นั้นกำไรแน่นอน จะกำไรน้อยกำไรมากขึ้นกับตัวเราว่าทำมากทำน้อยแค่ไหนเพราะเงินลงทุนเท่ากันทุกคนคือ 300 บาท

ส่วนที่จะให้เรากลับมาเมืองไทยเพื่อมาเป็นลูกจ้างอีกครั้งนี่ตัดออกไปได้เลยเพราะเราทั้งสองทราบดีว่าไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้างระดับสูงขนาดไหนก็ตามมันก็ไม่ตอบโจทย์ชีวิตในเรื่องอิสรภาพทางการเงินและทางเวลาที่จะสามารถมาพร้อมกันได้ แม้ว่าอาจจะมีบริษัทต่างชาติที่กล้าจ่ายเงินเดือนสูงๆให้เราซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนการย้ายกลับเมืองไทยของเราคุ้มค่าในระยะสั้น เราทั้งสองไม่ต้องการที่จะทำงานแบบไม่มีเวลาใช้เงินจนกว่าจะเกษีณอายุ

เคล็ดลับความสำเร็จของเราก็เริ่มจากการไม่คิดแทนใคร เราจะเอาโอกาสอันนี้ไปเปิดให้กับทุกคนที่เรารู้จัก การเปิดโอกาสอาจจะต้องอาศัยจังหวะและเวลาที่ถูกต้องและเราต้องสามารถชี้ให้เพื่อนเราเห็นว่าธุรกิจนี้ตอบโจทย์อะไรในชีวิตเขา จากนั้นเราต้องหมั่นศึกษาและพัฒนาแนวคิดทักษะและวิธีการจากสื่อ เซ็นเตอร์ และ upline ธุรกิจนี้ไม่ว่าคุณจะเรียนจบอะไรมาหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับไหน ถ้าต้องการจะประสบความสำเร็จก็คงจะต้องมาเรียนรู้เคล็ดลับความสำเร็จจากคนที่เขาสำเร็จก่อนเรา และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นคาถาความสำเร็จสำหรับทุกธุรกิจว่าอยากสำเร็จมากก็ต้องทำให้มากพอ

ท้ายนี้เราทั้งสองต้องขอขอบคุณเอมสตาร์สำหรับธุรกิจดีๆแบบนี้และ Clover Group สำหรับระบบที่สุดยอดทำให้การเริ่มสร้างธุรกิจเอมสตาร์ได้อย่างง่ายๆมีระบบและยังจะสามารถทำให้มีรายได้แบบ Passive Income ได้ในระยะยาว และอยากจะฝากทุกคนว่า ธุรกิจเอมสตาร์ทำสำเร็จได้แน่นอนด้วยแผนธุรกิจชั้นยอดและระบบ Clover 745 ที่จะช่วยพัฒนาแนวคิดและทักษะการทำธุรกิจอย่างถูกวิธี

เราขอจบด้วยคำคมประจำของเราทั้งคู่ว่า
"ผู้กล้าทั่วหล้า อย่ามัวชักช้า จงรีบใฝ่หา Passive Income"
18 ชั่วโมงที่แล้ว

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Zarm Clover Time

Avatar
Tom Founder18550

ชื่อ สาม สุกฤตา แสงกระจ่าง ปัจจุบันอายุ 20 เรียนชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สามเคยได้ยินธุรกิจเครือข่ายมาจากพี่ชายตั้งแต่อายุ 17 ปี ด้วยความเป็นเด็กและอายุไม่ถึงเลยไม่สนใจอะไรกับธุรกิจ Aimstar มากนัก บวกกับตอนนั้นพี่ชายมีรายได้เพียง 5,000 บาท เราก็คิดอยู่ในใจว่า “ขอแม่ง่ายกว่าไหม?” ยิ่ง ณ ตอนนั้นสามเองก็เชื่อว่าตัวเองก็เป็นเด็กคนนึงที่มีความสามารถในหลายๆด้าน และมีความฝันเป็นของตัวเอง สามอยากเข้าวงการบันเทิงมากกว่าการที่ต้องมานั่งทำเครือข่าย “ให้ต้องมานั่ง ตื้อ ง้อ ขอ ขาย หรอ?” มันไม่ใช่ทางของเราแน่ๆ หลังจากนั้น 7 เดือนผ่านมา พี่ชายก็กลับมาอีกครั้งกับรายได้ 50,000 บาท ช่วงนั้นเป็นเวลาของการอยู่ปี 1 ย่างเข้าปี 2 ของสาม รายได้มันสะกิดใจสามเล็กๆ เหมือนคำว่า “เงินซื้อคนไม่ได้ ถ้าไม่มากพอ” แต่ในความคิดของสามตอนนั้น “เงินก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้” ซื้อเพื่อน ครอบครัว เวลา หรือ ความรักไม่ได้ ด้วยความทะเยอทะยานสูงของสาม ถึงมีเงิน 10 ล้านก็ไม่สามารถซื้อใจเด็กคนนี้ได้ สามเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง สามเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง เข้ามหาลัยตอนอายุ 17 ปี ในขณะที่เพื่อนนั่งเรียนอยู่ชั้น ม.5-6 “มีซักกี่คนที่ทำได้เหมือนเรา?” ถ้าจะสำเร็จ หลังเรียนจบเรายังมีเวลาอีกเยอะให้ทำ
โชคดีหรือโชคร้ายของสามก็ไม่แน่ใจ คุณแม่โทรมาคุย ท่านบอก “คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน 8 ชั่งโมงแรกเรียน 8 ชั่วโมงที่สองมีไว้นอน แต่ 8 ชั่วโมงสุดท้าย คนรวยหรือจนเป็นคนกำหนด คนรวยใช้ 8 ชั่วโมงสุดท้ายในการหาเงิน แต่คนจนใช้มันในการใช้เงิน เรากำลังเลือกเป็นแบบไหน?” สามฟังแล้วก็ได้รับรู้ว่าเรากำลังเป็นคนจนอยู่ แต่คำถามที่แย้งอยู่ในใจของสามคือ “แล้วเราจะรวยไปเพื่ออะไร?” ถึงมีเงินมากมายก็ไม่สามารถซื้อคำว่าเมื่อวานได้ ซื้อความทรงจำดีๆที่อยู่ในสมองไม่ได้ แล้วเราจะหาเงินให้เหนื่อยเพิ่มเพื่ออะไร
ถึงมีเรื่องราวร้อยพันจากใครมาพูดก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ขอแค่เรื่องเดียวที่มันบาดลึกทิ่มแทงใจมันก็สามารถเปลี่ยนใจได้ วันที่สามตัดสินใจทำงานนี้จริงๆก็เพราะพี่สองเล่าให้สามฟังว่า “จำเศรฐกิจปี 40 ได้ไหม จากที่บ้านเรามีเป็น 100 ล้าน สุดท้ายล้มละลายไม่เหลืออะไรเลย มีอยู่คืนนึง ตอนสามกำลังหลับอยู่ พี่ได้ยินเสียงแม่เราร้องไห้ บอกว่าวันนี้เรากำลังโชคร้ายที่มีเค้าเป็นแม่” สิ้นเสียงสามก็เถียงเขา “โชคร้ายอะไร โชคดีตังหาก ไม่งั้นจะได้เรียนจบจากนานาชาติ มีมหาลัยดีๆอยู่ แม่เราสู้ชีวิตเพื่อพวกเราจะตาย กว่าจะมีวันนี้ของพวกเราได้” พอพี่สองฟังจบเลยถามต่อว่า “นั่นสิ เราโชคดีที่มีเค้าเป็นแม่ แต่ทำถามคือ เขาโชคดีหรือยังที่มีเราเป็นลูก” ฟังคำถามจบ สามกลับมานั่งถามกับตัวเองด้วยคำถามที่ทิ่มแทงใจตัวเองว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปี ที่ผ่านมา เรากำลังทำอะไรอยู่ นี่เราไม่คิดอะไรมานานขนาดนี้เชียวหรือ? “พ่อแม่ก็มีหัวใจ ร่างกายพ่อแม่ไม่ใช่เครื่องจักร พ่อแม่อยากจะหยุกพัก แต่กลัวลูกรักจะไม่พอกิน” ช่วงเวลาที่เราไม่ได้คิดอะไร ก็จะมีคน2 คนคิดแทนเราเสมอ นั่นก็คือพ่อแม่ จะมีสักครั้งไหม ที่วันนี้เรา “คิดให้มากขึ้น เพื่อให้คนที่เรารัก คิดได้น้อยลง” อย่างน้อย... ทำอะไรมากขึ้นเพื่อให้เค้าหยุดพักเร็วขึ้นซัก 1 นาทีก็ยังดี “นี่ไม่ใช่หรือ คือสิ่งที่ลูกที่ดีควรพึงกระทำ?”
สามเกิดวันที่ 30 เม.ย. 2536 และสามก็สมัครสามาชิค Aimstarในวันที่ 30 เม.ย. 2554 สามไม่สนว่าวันที่สามจะสมัครวันไหน แต่สามสนว่าวันที่สมัครคือการได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่เรารัก ธุรกิจส่วนตัวไหนๆก็ไม่เคยรอทำวันที่ 1 มีแต่คำถามคือ “จะเริ่มทำวันไหน?” นอกเหนือจากนั้น สามไม่เคยสนใจว่าสินค้าจะต้องซื้อเท่าไร ครั้งแรกสามซื้อสินค้าเกือบๆ 7,000 บาท สามเชื่อว่าตอนนี้เรามาทำธุรกิจเครือข่ายผู้บริโภค เรามีหน้าร้านคือตัวเรา แต่ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงหรือซื้ออะไรบางอย่างเพื่อให้คนรอบตัวเห็น ธุรกิจก็จะกลายเป็นแค่การเล่นหม้อข้าวหม้อแกง ถ้าเราคิดจะลุยกับมัน ครั้งเดียวขอให้ทำจบ คนที่ชวนมาบอกให้ทำไรต้องไม่คิดช้า ลงมือกับมัน สามเชื่อว่าคนสำเร็จจะทำอะไรไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญอายุไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับทัศนคติและแนวคิด 100 คนพูด 10 คนทำ 1 คนสำเร็จ สามทำธุรกิจเดือนแรกไม่ได้มาก เพียงแค่ 2,000 บาทเท่านั้นเอง แต่เดือนที่ 8 ก็สามารถเป็นนักธุรกิจ Aimstar ระดับรูบี้สตาร์ หรือมีรายได้ร่วม 100,000 บาท ขณะอายุ 18 ปี
สามเชื่อว่าตัวสาม ไม่ได้เก่งกว่าคนทั่วไป สามเป็นเด็กใสๆคนนึงที่ไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจ ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาตลอด ขอเพียงแค่มีความเชื่อมันกับตัวเองว่าเราทำได้ คำตอบก็คือทำได้ สามทำธุรกิจ 4 เดือนแรกก็สามารถผ่านทริปไปเกาหลี ซึ่งเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเครื่องบิน ณ ตอนนั้น และครั้งที่ 2 ก็ได้ไปเกาหลีอีกครั้ง ธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่สามารถให้รายได้ ทริปท่องเที่ยว ประสบการณ์ชีวิต สังคมดีๆที่สามรู้สึกโชคดีที่ได้เจอ สามเคยไปเกาหลีในชีวิตนี้ถึง 3 ครั้งแล้ว สามกลับมานั่งย้อนดูรูปเก่าๆที่เคยไปเที่ยวมา ผลของการทำธุรกิจนี้ยังสามารถให้หน้าตาและบุคลิคที่ดีขึ้นด้วย โอกาสมันก็เหมือนไอติม ถ้าไม่ได้กินมันก็ละลาย สามเชื่อว่าโชคดีแล้วที่ได้รับโอกาสนี้ มันสามารถเปลี่ยนจากเด็กธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นอีกคนได้ ถ้าไม่ได้ทำธุกิจนี้ สามก็อาจจะกลายเป็นเด็กธรรมดาๆคนนึงที่กำลังจะเรียนจบ แต่หาเป้าหมายชีวิตไม่เจอ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ สุดท้ายก็เอามูลค่าชีวิตที่เทียบเป็นเงินไม่ได้ มาไว้กับงานบางงานที่อาจจะให้เงินเราเพียงแค่ 20,000 บาทต่อเดือน อย่ากลัวการที่จะต้องทำอะไรหรือเหนื่อยเพิ่ม อย่าแคร์สายตาใคร ตราบเท่าที่เรายังหายใจด้วยจมูก “เราเอง”
เชื่อไหมว่าคนทั่วไปมีอวัยวะครบ 32 ส่วนเท่ากัน มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน มีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ความพยายามที่ทำให้ไปถึงฝันเรามีไม่เท่ากัน สามเองก็เรียนไปและจัดเวลาทำงานไป แต่คนเราสามารถเป็นมนุษย์ 1000% ได้ เรียน100% ทำงาน 100% เพื่อน 100% ครอบครัว 100% เที่ยว 100% ลฯ เต็มที่กับทุกอย่างในชีวิต ขอเพียงแค่เรามีใจที่จะก้าวเดินยังไงเราไปถึงฝันแน่นอน การก้าวไปย่อมสำคัญกว่าการก้าวถึง
ผู้หญิงจะสวยที่ความคิด จะน่ารักที่นิสัย หลายๆคนชอบบอกว่าหน้าตาเป็นส่วนสำคัญ แต่ถามจริงๆ ถ้าเกิดเราจะเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิต เราจะเลือกคนที่ใช้ชีวิตไม่คิดอะไรจริงๆหรือ? ในทางกลับกัน เราเองก็ต้องเป็น 1 คนที่ไม่ใช่ตุ๊กตาหน้ารถ ความดีของคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “หนังหน้า” แต่ขึ้นอยู่กับ สิ่งมีค่าที่เรียกว่า “หัวใจ” ไม่ใช่เป็นคนที่ถูกเลือก แต่ต้องเป็นคนที่ถูกรััก
เวลาที่เราสร้างชีวิต เส้นทางที่ขรุขระนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ จะผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา คิดจะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่งพอ ขอให้เราเป็นคนที่ใจมั่นคงพอต่อความสำเร็จที่เราต้องการ เพราะไม่มีใครไปถึงดวงดาว โดยที่เท้าไม่ได้เปื้อนดิน
บทเรียนที่มีค่า ต้องแลกมาด้วยความลำบาก สามเชื่อทุกๆความสบายคือหนทางสู่ความลำบาก ทุกๆความลำบากคือหนทางสู่ความสบาย ทุกธุรกิจที่เราทำไม่ได้หมายความว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ จงเชื่อเถอะว่ามันมีอุปสรรค แต่ทุกๆอุปสรรคมันจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเสมอ ทำธุกิจนี้มีคนปฏิเสธ มีคนต่อว่าแน่นอน แต่นั่นแหละมันคือความโชคดีในความโชคร้ายที่มันทำให้เราเห็นความสำเร็จที่มันใกล้ขึ้นมาทุกที
2 วันที่แล้ว เมื่อเวลา 2:50 pm 

Success Story : Kae Giver

Avatar
Tom Founder18550
สิ่งที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต ไม่ใช่การที่เราไม่เคยล้ม แต่คือการลุกทุกครั้งที่ล้ม ชวนากร พิบูลเวช
เรียกสั้นๆว่า เก้ ก็ได้ครับ ผมเกิดมาอยู่ในครอบครัวครัวคนชั้นกลางๆ คุณพ่อคุณแม่ทำงานประจำ แต่ได้หย่าร้างกันไป ผมเป็นลูกคนเดียวที่นิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยากได้ต้องได้ ทำให้รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่คุณแม่มักจะหาสิ่งที่เราอยากได้ให้กับเราได้เสมอๆ ผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 2.20 ถือว่าเปนอะไรที่เพอเฟคแล้ว บุคลิกไม่ได้ดูดี แถมการเข้าสังคมของเรายังเป็นปัญหาเพราะชอบอยู่ในโลกส่วนตัวเงียบๆเพียงคนเดียว
ผมใช้เวลาเรียนม.ปลายถึง 5 ปี เพราะ ติด 0 บางรายวิชา แต่ไม่ยอมไปซ่อม เพราะติดกับดักความคิดตัวเองที่ว่าไปง้อใครม้กระทั่งครู อาจารย์ เราเอาตัวรอดได้ เพราะ ตลอด 5 วันของการเข้าเรียน ผมจะใช้ชีวิตที่ร้านเกมส์ พอตกดึกก้อไปสังสรรค์กับบรรดารุ่นพี่ที่เรารู้จักตามผับ ตามบาร์ เลยทำชีวิตเรายิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตคือการที่ผมได้เจอกับผู้หญิงคนนึงครับ เค้าคือคู่ชีวิตของผมผู้หญิงที่ชื่อ จุลลิดา วิภาหัสน์ เค้าเข้ามาคอยฉุดผมออกจากโลกที่ไร้สาระที่ผมเคยเป็น แต่เรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปดั่งใจเพราะผมต้องรับผิดชอบกับอีกชีวิตนึงที่ต้องเกิดมาที่อยผุ่ในท้องของเธอ ทั้งที่ผมอายุเพิ่ง 21 วัยรุ่นบางคนอาจมองว่าชีวิตที่กำลังจะเกิดมาอาจเป็นอุปสรรคของใครบางคน แต่สำหรับผมคือแรงบันดาลที่เราต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นและประสบความสำเร็วในชีวิตให้ได้ เพราะความสำเร็จมักจะเริ่มต้นจากความไม่พร้อมเสมอ ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองและรีบเรียนจนจบมาได้ตอนอายุ23จากรามคำแหง

หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับงานประจำเพื่อดูแลครอบครัวของผมตั้งแต่นั้นมา ผมมีรายได้จากงานประจำ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่เพียงพอต่อความต้องการของครอบครัว ผมอยากให้ลูกสาวของผมเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆผมเลยส่งเข้าเรียน โรงเรียนเอกชนค่าเทอมอาจดูไม่แพงสำหรับใครบางคน แต่หนักสำหรับผมคือเทอมละประมาณ 25000 ตอนนั้นผมตั้งใจทำงานมากแต่ผลลัพท์ไม่ตอบโจทย์ ผมกับแฟนเลยปรึกษาว่าจะทำอะไรเพิ่มดีเพราะรายได้ทางเดียวไม่พอใช้ วินาทีนั้นเอมสตาร์เลยเข้ามาในชีวิตจากเพื่อนรุ่นพี่คนนึงที่ชื่อโอ้ต แต่เราใช้หูฟัง ไม่ใช้ใจฟัง เลยปฏิเสธไปเพราะเราคิดว่าคนแบบเรา พูดไม่เก่ง บุคลิกไม่ดี เพื่อนน้อยน่าจะทำไม่ได้ จนสุดท้ายผมไปเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัด หลังจากทำงาน 2 งานในเวลาเดียวกันผมสามารถหาเงินได้เดือนละ 50000 บาทในอายุเพียง 24 ตอนนั้นเรารู้สึกว่ารายได้โอเค แต่ผมมาเริ่มเอะใจกับงานที่ทำว่าคุณภาพชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นรึเปล่า ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวส่งลูกขึ้นรถตู้โรงเรียน เจอหน้าพูดคุยกัน 1 ชม. แล้วไปทำงานประจำ 8.00-17.00 กลับมาเจอหน้าลูกที่บ้านครึ่งชั่วโมงเพื่อเอาของไปขายที่ตลาด ปิดร้านกลับถึงบ้านเที่ยงคืน เจอลูกตอนนอนแล้ว เชคบัญชี นอนตอนตี1 ชีวิตของผมเป็นแบบนี้ตลอด 7 วัน เจอหน้าลูกน้อยลง อยู่กับแฟนน้อยลง และไม่ได้เข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่เลย จนโอกาสที่ชื่อเอมสตาร์กลับเข้ามาอีกครั้งจากบุคคลที่ดูเปนมืออาชีพมากขึ้นจากคุณ กอล์ฟ พิชัย อ่องสกุล ทำให้ผมเห็นว่าวิถีชีวิตที่ไร้กังวล และแรงบัลดาลใจของผมคือมีเงินและเวลาในการเลี้ยงดูครอบครับ

ความสำเร็จของผมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตอนผมเริ่มต้นไม่มีใครเหนด้วยกับผมสักคนเดียวแม้กระทั่งคนที่ไว้ใจที่สุดอย่างภรรยาผม ต้องทนฟังเสียงคนปฏิเสธจากทั้งภายนอกภายใน แม่ยายเรียกงานที่ผมทำว่าเป็ยเซลล์ขายยาสีฟัน แต่ถ้าวันนี้เป้าหมายเราชัดเราจะไม่มองปัญหา ผมค่อยๆเปลี่ยงตัวเองทีละนิดๆฟังสื่อ และเข้ารอบประชุมเพิ่มมากขึ้นจนผมใช้เวลาการทำในเดือนแรกเป็น HB รายได้ 2000 บาท และเป็นอยู่นานถึง 3 เดือนจนผมเป็น BZ ในเดือนที่ 4 แล้วน้องน้ำก้อมาเยือนทำให้ตอนนั้นทีมงานเราหายไปหมด เหลือเพียง พี่นัท เมืองสุรินทร์ แค่คนเดียว ตอนนั้นผมมานั่งคุยกับตัวเองอีกครั้งเพราะเสียงจากคนรอบด้านถาโถมเข้ามาอีกครั้งบอกว่าเราไม่มีทางสำเร็จได้ “ถ้าคน1000คนบอกว่าเราไม่สำเร็จ แต่ตัวเราบอกว่าสำเร็จได้ก็คือสำเร็จได้” ผมมองสิ่งที่เหลืออยู่ไม่ได้มองสิ่งที่หายไป จากควมตั้งใจของคนหนึ่งคนทำให้ผมกลับมาสู้ใหม่และเป็น BZ อีก 3 เดือน บางคนอาจรู้สึกท้อไปแล้วเพราะทำ 6 เดือนยังรายได้อยู่ที่ 4500 แต่ผมไม่ท้อ เพระถ้าท้อจะเป็นถ่าน แล้วถ้าผ่านจะเป็นเพชร จนสุดท้ายผมใช้เวลาทั้งหมด 14 เดือนสามารถพิชิตรายได้ 1 แสนบาทด้วยตำแหน่งที่ชื่อว่ารูบี้สตาร์ และทริปการท่องเที่ยว 2 ประเทศ เกนติ้ง-มาเลเซีย และ มัลดีฟ

เคล็ดไม่ลับกับความสำเร็จ
1.ความเชื่อ ความเชื่อของผมไม่เคยตก เชื่อในอัพไลน์ สินค้า ระบบ และที่สำคัญคือตัวเราเอง เราต้องปกป้องความฝันของเราให้ได้ อย่าให้น้ำลายราคาถูกมาดูถูกความฝันของเรา
2.การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนสำเร็จได้หมดดั่งคำที่เค้าว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงตัวเองเท่ากับอัตราการประสบความสำเร็จ ต่อให้เราโปรไฟล์ดี แต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับระบบยังไงก็สำเร็จยาก
3.ไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว รู้แล้ว ถ้าคิดแบบนี้เราจะหยุดการพัฒนาทันที เราจะยิ่งสำเร็จถ้าเราเรียนรู้มากขึ้นๆและเก่งกับงานที่เราทำมากขึ้น
เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลา 5:51 น.