วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Noon-Jude The Clover

Avatar
Noon The Clover Ruby Kanogart758
หากวันนี้คุณมีเพื่อนคู่สามีภรรยาที่ทั้งคู่จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Top 10 ในอเมริกา เคยทำงานเป็นนายธนาคารในไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยให้กับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ช่วงสิบกว่าปีหลังทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ สามีมีธุรกิจของตนเองที่สหรัฐอเมริกา ภรรยาทำงานบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่นั่น รายได้รวมกับเฉียดล้านบาท คุณคิดว่าคุณอยากจะลองชวนเพื่อนคู่นี้มาทำธุรกิจเอมสตาร์หรือไม่

เคล็ดลับความสำเร็จอย่างหนึ่งของธุรกิจเอมสตาร์คืออย่าคิดแทนใครว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ชวนไปเขาคงไม่ทำหรอก เราทั้งสองคนต้องขอขอบคุณคุณรัฐและคุณแหม่มที่ไม่ได้คิดแทนว่าเราจะสนใจหรือไม่สนใจในธุรกิจเอมสตาร์ และได้มาเปิดโอกาสธุรกิจดีๆแบบนี้ให้กับเรา ตอนที่คุณรัฐมาเล่าให้เราฟังเป็นช่วงที่เอมสตาร์กำลังจะเปิดสำนักงานในอเมริกาพอดี คุณรัฐก็เลยเอาโอกาสนี้มาเปิดให้เรา เผื่อเราสนใจจะได้ช่วยกันขยายธุรกิจที่นั่น เราทั้งสองเป็นคนเปิดรับโอกาสชีวิตอยู่แล้วก็เลยได้ลองเริ่มทำที่นั่น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณรัฐไม่รู้ก็คือเราทั้งสองกำลังมองหาธุรกิจที่จะทำให้เราย้ายบ้านกลับมาเมืองไทยได้ด้วยเพราะเราคิดถึงบ้าน แต่แน่นอนครับมันต้องเป็นธุรกิจที่ดีพอและใหญ่พอที่จะทำให้เรากล้าตัดสินใจทิ้งสิ่งที่เรามีอยู่ที่นั่นเพื่อกลับมา และอีกสิ่งหนึ่งที่เรามองหาคือมันต้องเป็นธุรกิจที่เราสร้างเสร็จแล้วไม่ต้องไปนั่งเฝ้าทุกวันแต่เป็นธุรกิจที่สามารถดูแลตัวมันเองและสามารถให้รายได้แบบ Passive Income ให้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต และเราก็ได้พบคำตอบนี้ในธุรกิจเอมสตาร์

นอกจากจะสามารถทำให้เราย้ายกลับมาเมืองไทยได้แล้ว เอมสตาร์ยังสามารถทำให้เราเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเครือข่ายนานาชาติได้อีกด้วย ปัจจุบันเครือข่ายเราครอบคลุมประเทศไทย ลาว พม่า ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และในอนาคตเครือข่ายเราก็จะขยายไปอีกหลายประเทศที่เอมสตาร์จะไปเปิดสำนักงาน

มีหลายคนมาถามเราว่ารายได้เราได้ในปัจจุบันมันคุ้มกับสิ่งที่เราทิ้งมาหรือ ตำตอบคือ ณ ขณะนี้อาจจะยังก็เพราะเรายังสร้างธุรกิจนี้ไม่เสร็จยังไงล่ะ แต่เราทราบดีว่าเมื่อถึงวันที่เราสร้างมันเสร็จมันจะคุ้มเกินคุ้มเสียอีก ถ้าเพื่อนๆลองใช้วิสัยทัศน์ในการประเมินธุรกิจนี้ดู จะมีธุรกิจอะไรที่สามารถให้ผลตอบแทนในขนาดที่เอมสตาร์ให้ได้ด้วยความเสี่ยงที่แทบจะไม่มี

ถ้าเราไม่ทำเอมสตาร์เราก็ต้องหาธุรกิจอื่นที่อาจต้องลงทุนหลายสิบล้านบาทเพื่ิอที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่เอมสตาร์ให้ และไม่ว่าธุรกิจอื่นนั้นจะเป็นอะไรผลตอบแทนในเบื้องต้นก็จะยังไม่คุ้มอยู่ดีเพราะทุกธุรกิจต้องใช้เวลาสร้าง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือลงทุนไปหลายสิบล้านนั้นเป็นความเสี่ยงมหาศาลและก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเราจะคืนทุนกลับมาได้กำไร ส่วนธุรกิจเอมสตาร์นั้นกำไรแน่นอน จะกำไรน้อยกำไรมากขึ้นกับตัวเราว่าทำมากทำน้อยแค่ไหนเพราะเงินลงทุนเท่ากันทุกคนคือ 300 บาท

ส่วนที่จะให้เรากลับมาเมืองไทยเพื่อมาเป็นลูกจ้างอีกครั้งนี่ตัดออกไปได้เลยเพราะเราทั้งสองทราบดีว่าไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้างระดับสูงขนาดไหนก็ตามมันก็ไม่ตอบโจทย์ชีวิตในเรื่องอิสรภาพทางการเงินและทางเวลาที่จะสามารถมาพร้อมกันได้ แม้ว่าอาจจะมีบริษัทต่างชาติที่กล้าจ่ายเงินเดือนสูงๆให้เราซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนการย้ายกลับเมืองไทยของเราคุ้มค่าในระยะสั้น เราทั้งสองไม่ต้องการที่จะทำงานแบบไม่มีเวลาใช้เงินจนกว่าจะเกษีณอายุ

เคล็ดลับความสำเร็จของเราก็เริ่มจากการไม่คิดแทนใคร เราจะเอาโอกาสอันนี้ไปเปิดให้กับทุกคนที่เรารู้จัก การเปิดโอกาสอาจจะต้องอาศัยจังหวะและเวลาที่ถูกต้องและเราต้องสามารถชี้ให้เพื่อนเราเห็นว่าธุรกิจนี้ตอบโจทย์อะไรในชีวิตเขา จากนั้นเราต้องหมั่นศึกษาและพัฒนาแนวคิดทักษะและวิธีการจากสื่อ เซ็นเตอร์ และ upline ธุรกิจนี้ไม่ว่าคุณจะเรียนจบอะไรมาหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับไหน ถ้าต้องการจะประสบความสำเร็จก็คงจะต้องมาเรียนรู้เคล็ดลับความสำเร็จจากคนที่เขาสำเร็จก่อนเรา และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นคาถาความสำเร็จสำหรับทุกธุรกิจว่าอยากสำเร็จมากก็ต้องทำให้มากพอ

ท้ายนี้เราทั้งสองต้องขอขอบคุณเอมสตาร์สำหรับธุรกิจดีๆแบบนี้และ Clover Group สำหรับระบบที่สุดยอดทำให้การเริ่มสร้างธุรกิจเอมสตาร์ได้อย่างง่ายๆมีระบบและยังจะสามารถทำให้มีรายได้แบบ Passive Income ได้ในระยะยาว และอยากจะฝากทุกคนว่า ธุรกิจเอมสตาร์ทำสำเร็จได้แน่นอนด้วยแผนธุรกิจชั้นยอดและระบบ Clover 745 ที่จะช่วยพัฒนาแนวคิดและทักษะการทำธุรกิจอย่างถูกวิธี

เราขอจบด้วยคำคมประจำของเราทั้งคู่ว่า
"ผู้กล้าทั่วหล้า อย่ามัวชักช้า จงรีบใฝ่หา Passive Income"
18 ชั่วโมงที่แล้ว

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Zarm Clover Time

Avatar
Tom Founder18550

ชื่อ สาม สุกฤตา แสงกระจ่าง ปัจจุบันอายุ 20 เรียนชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สามเคยได้ยินธุรกิจเครือข่ายมาจากพี่ชายตั้งแต่อายุ 17 ปี ด้วยความเป็นเด็กและอายุไม่ถึงเลยไม่สนใจอะไรกับธุรกิจ Aimstar มากนัก บวกกับตอนนั้นพี่ชายมีรายได้เพียง 5,000 บาท เราก็คิดอยู่ในใจว่า “ขอแม่ง่ายกว่าไหม?” ยิ่ง ณ ตอนนั้นสามเองก็เชื่อว่าตัวเองก็เป็นเด็กคนนึงที่มีความสามารถในหลายๆด้าน และมีความฝันเป็นของตัวเอง สามอยากเข้าวงการบันเทิงมากกว่าการที่ต้องมานั่งทำเครือข่าย “ให้ต้องมานั่ง ตื้อ ง้อ ขอ ขาย หรอ?” มันไม่ใช่ทางของเราแน่ๆ หลังจากนั้น 7 เดือนผ่านมา พี่ชายก็กลับมาอีกครั้งกับรายได้ 50,000 บาท ช่วงนั้นเป็นเวลาของการอยู่ปี 1 ย่างเข้าปี 2 ของสาม รายได้มันสะกิดใจสามเล็กๆ เหมือนคำว่า “เงินซื้อคนไม่ได้ ถ้าไม่มากพอ” แต่ในความคิดของสามตอนนั้น “เงินก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้” ซื้อเพื่อน ครอบครัว เวลา หรือ ความรักไม่ได้ ด้วยความทะเยอทะยานสูงของสาม ถึงมีเงิน 10 ล้านก็ไม่สามารถซื้อใจเด็กคนนี้ได้ สามเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง สามเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง เข้ามหาลัยตอนอายุ 17 ปี ในขณะที่เพื่อนนั่งเรียนอยู่ชั้น ม.5-6 “มีซักกี่คนที่ทำได้เหมือนเรา?” ถ้าจะสำเร็จ หลังเรียนจบเรายังมีเวลาอีกเยอะให้ทำ
โชคดีหรือโชคร้ายของสามก็ไม่แน่ใจ คุณแม่โทรมาคุย ท่านบอก “คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน 8 ชั่งโมงแรกเรียน 8 ชั่วโมงที่สองมีไว้นอน แต่ 8 ชั่วโมงสุดท้าย คนรวยหรือจนเป็นคนกำหนด คนรวยใช้ 8 ชั่วโมงสุดท้ายในการหาเงิน แต่คนจนใช้มันในการใช้เงิน เรากำลังเลือกเป็นแบบไหน?” สามฟังแล้วก็ได้รับรู้ว่าเรากำลังเป็นคนจนอยู่ แต่คำถามที่แย้งอยู่ในใจของสามคือ “แล้วเราจะรวยไปเพื่ออะไร?” ถึงมีเงินมากมายก็ไม่สามารถซื้อคำว่าเมื่อวานได้ ซื้อความทรงจำดีๆที่อยู่ในสมองไม่ได้ แล้วเราจะหาเงินให้เหนื่อยเพิ่มเพื่ออะไร
ถึงมีเรื่องราวร้อยพันจากใครมาพูดก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ขอแค่เรื่องเดียวที่มันบาดลึกทิ่มแทงใจมันก็สามารถเปลี่ยนใจได้ วันที่สามตัดสินใจทำงานนี้จริงๆก็เพราะพี่สองเล่าให้สามฟังว่า “จำเศรฐกิจปี 40 ได้ไหม จากที่บ้านเรามีเป็น 100 ล้าน สุดท้ายล้มละลายไม่เหลืออะไรเลย มีอยู่คืนนึง ตอนสามกำลังหลับอยู่ พี่ได้ยินเสียงแม่เราร้องไห้ บอกว่าวันนี้เรากำลังโชคร้ายที่มีเค้าเป็นแม่” สิ้นเสียงสามก็เถียงเขา “โชคร้ายอะไร โชคดีตังหาก ไม่งั้นจะได้เรียนจบจากนานาชาติ มีมหาลัยดีๆอยู่ แม่เราสู้ชีวิตเพื่อพวกเราจะตาย กว่าจะมีวันนี้ของพวกเราได้” พอพี่สองฟังจบเลยถามต่อว่า “นั่นสิ เราโชคดีที่มีเค้าเป็นแม่ แต่ทำถามคือ เขาโชคดีหรือยังที่มีเราเป็นลูก” ฟังคำถามจบ สามกลับมานั่งถามกับตัวเองด้วยคำถามที่ทิ่มแทงใจตัวเองว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปี ที่ผ่านมา เรากำลังทำอะไรอยู่ นี่เราไม่คิดอะไรมานานขนาดนี้เชียวหรือ? “พ่อแม่ก็มีหัวใจ ร่างกายพ่อแม่ไม่ใช่เครื่องจักร พ่อแม่อยากจะหยุกพัก แต่กลัวลูกรักจะไม่พอกิน” ช่วงเวลาที่เราไม่ได้คิดอะไร ก็จะมีคน2 คนคิดแทนเราเสมอ นั่นก็คือพ่อแม่ จะมีสักครั้งไหม ที่วันนี้เรา “คิดให้มากขึ้น เพื่อให้คนที่เรารัก คิดได้น้อยลง” อย่างน้อย... ทำอะไรมากขึ้นเพื่อให้เค้าหยุดพักเร็วขึ้นซัก 1 นาทีก็ยังดี “นี่ไม่ใช่หรือ คือสิ่งที่ลูกที่ดีควรพึงกระทำ?”
สามเกิดวันที่ 30 เม.ย. 2536 และสามก็สมัครสามาชิค Aimstarในวันที่ 30 เม.ย. 2554 สามไม่สนว่าวันที่สามจะสมัครวันไหน แต่สามสนว่าวันที่สมัครคือการได้ลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่เรารัก ธุรกิจส่วนตัวไหนๆก็ไม่เคยรอทำวันที่ 1 มีแต่คำถามคือ “จะเริ่มทำวันไหน?” นอกเหนือจากนั้น สามไม่เคยสนใจว่าสินค้าจะต้องซื้อเท่าไร ครั้งแรกสามซื้อสินค้าเกือบๆ 7,000 บาท สามเชื่อว่าตอนนี้เรามาทำธุรกิจเครือข่ายผู้บริโภค เรามีหน้าร้านคือตัวเรา แต่ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงหรือซื้ออะไรบางอย่างเพื่อให้คนรอบตัวเห็น ธุรกิจก็จะกลายเป็นแค่การเล่นหม้อข้าวหม้อแกง ถ้าเราคิดจะลุยกับมัน ครั้งเดียวขอให้ทำจบ คนที่ชวนมาบอกให้ทำไรต้องไม่คิดช้า ลงมือกับมัน สามเชื่อว่าคนสำเร็จจะทำอะไรไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญอายุไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับทัศนคติและแนวคิด 100 คนพูด 10 คนทำ 1 คนสำเร็จ สามทำธุรกิจเดือนแรกไม่ได้มาก เพียงแค่ 2,000 บาทเท่านั้นเอง แต่เดือนที่ 8 ก็สามารถเป็นนักธุรกิจ Aimstar ระดับรูบี้สตาร์ หรือมีรายได้ร่วม 100,000 บาท ขณะอายุ 18 ปี
สามเชื่อว่าตัวสาม ไม่ได้เก่งกว่าคนทั่วไป สามเป็นเด็กใสๆคนนึงที่ไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจ ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาตลอด ขอเพียงแค่มีความเชื่อมันกับตัวเองว่าเราทำได้ คำตอบก็คือทำได้ สามทำธุรกิจ 4 เดือนแรกก็สามารถผ่านทริปไปเกาหลี ซึ่งเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเครื่องบิน ณ ตอนนั้น และครั้งที่ 2 ก็ได้ไปเกาหลีอีกครั้ง ธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่สามารถให้รายได้ ทริปท่องเที่ยว ประสบการณ์ชีวิต สังคมดีๆที่สามรู้สึกโชคดีที่ได้เจอ สามเคยไปเกาหลีในชีวิตนี้ถึง 3 ครั้งแล้ว สามกลับมานั่งย้อนดูรูปเก่าๆที่เคยไปเที่ยวมา ผลของการทำธุรกิจนี้ยังสามารถให้หน้าตาและบุคลิคที่ดีขึ้นด้วย โอกาสมันก็เหมือนไอติม ถ้าไม่ได้กินมันก็ละลาย สามเชื่อว่าโชคดีแล้วที่ได้รับโอกาสนี้ มันสามารถเปลี่ยนจากเด็กธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นอีกคนได้ ถ้าไม่ได้ทำธุกิจนี้ สามก็อาจจะกลายเป็นเด็กธรรมดาๆคนนึงที่กำลังจะเรียนจบ แต่หาเป้าหมายชีวิตไม่เจอ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ สุดท้ายก็เอามูลค่าชีวิตที่เทียบเป็นเงินไม่ได้ มาไว้กับงานบางงานที่อาจจะให้เงินเราเพียงแค่ 20,000 บาทต่อเดือน อย่ากลัวการที่จะต้องทำอะไรหรือเหนื่อยเพิ่ม อย่าแคร์สายตาใคร ตราบเท่าที่เรายังหายใจด้วยจมูก “เราเอง”
เชื่อไหมว่าคนทั่วไปมีอวัยวะครบ 32 ส่วนเท่ากัน มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน มีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ความพยายามที่ทำให้ไปถึงฝันเรามีไม่เท่ากัน สามเองก็เรียนไปและจัดเวลาทำงานไป แต่คนเราสามารถเป็นมนุษย์ 1000% ได้ เรียน100% ทำงาน 100% เพื่อน 100% ครอบครัว 100% เที่ยว 100% ลฯ เต็มที่กับทุกอย่างในชีวิต ขอเพียงแค่เรามีใจที่จะก้าวเดินยังไงเราไปถึงฝันแน่นอน การก้าวไปย่อมสำคัญกว่าการก้าวถึง
ผู้หญิงจะสวยที่ความคิด จะน่ารักที่นิสัย หลายๆคนชอบบอกว่าหน้าตาเป็นส่วนสำคัญ แต่ถามจริงๆ ถ้าเกิดเราจะเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิต เราจะเลือกคนที่ใช้ชีวิตไม่คิดอะไรจริงๆหรือ? ในทางกลับกัน เราเองก็ต้องเป็น 1 คนที่ไม่ใช่ตุ๊กตาหน้ารถ ความดีของคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “หนังหน้า” แต่ขึ้นอยู่กับ สิ่งมีค่าที่เรียกว่า “หัวใจ” ไม่ใช่เป็นคนที่ถูกเลือก แต่ต้องเป็นคนที่ถูกรััก
เวลาที่เราสร้างชีวิต เส้นทางที่ขรุขระนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ จะผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา คิดจะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่งพอ ขอให้เราเป็นคนที่ใจมั่นคงพอต่อความสำเร็จที่เราต้องการ เพราะไม่มีใครไปถึงดวงดาว โดยที่เท้าไม่ได้เปื้อนดิน
บทเรียนที่มีค่า ต้องแลกมาด้วยความลำบาก สามเชื่อทุกๆความสบายคือหนทางสู่ความลำบาก ทุกๆความลำบากคือหนทางสู่ความสบาย ทุกธุรกิจที่เราทำไม่ได้หมายความว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ จงเชื่อเถอะว่ามันมีอุปสรรค แต่ทุกๆอุปสรรคมันจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเสมอ ทำธุกิจนี้มีคนปฏิเสธ มีคนต่อว่าแน่นอน แต่นั่นแหละมันคือความโชคดีในความโชคร้ายที่มันทำให้เราเห็นความสำเร็จที่มันใกล้ขึ้นมาทุกที
2 วันที่แล้ว เมื่อเวลา 2:50 pm 

Success Story : Kae Giver

Avatar
Tom Founder18550
สิ่งที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต ไม่ใช่การที่เราไม่เคยล้ม แต่คือการลุกทุกครั้งที่ล้ม ชวนากร พิบูลเวช
เรียกสั้นๆว่า เก้ ก็ได้ครับ ผมเกิดมาอยู่ในครอบครัวครัวคนชั้นกลางๆ คุณพ่อคุณแม่ทำงานประจำ แต่ได้หย่าร้างกันไป ผมเป็นลูกคนเดียวที่นิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยากได้ต้องได้ ทำให้รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่คุณแม่มักจะหาสิ่งที่เราอยากได้ให้กับเราได้เสมอๆ ผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 2.20 ถือว่าเปนอะไรที่เพอเฟคแล้ว บุคลิกไม่ได้ดูดี แถมการเข้าสังคมของเรายังเป็นปัญหาเพราะชอบอยู่ในโลกส่วนตัวเงียบๆเพียงคนเดียว
ผมใช้เวลาเรียนม.ปลายถึง 5 ปี เพราะ ติด 0 บางรายวิชา แต่ไม่ยอมไปซ่อม เพราะติดกับดักความคิดตัวเองที่ว่าไปง้อใครม้กระทั่งครู อาจารย์ เราเอาตัวรอดได้ เพราะ ตลอด 5 วันของการเข้าเรียน ผมจะใช้ชีวิตที่ร้านเกมส์ พอตกดึกก้อไปสังสรรค์กับบรรดารุ่นพี่ที่เรารู้จักตามผับ ตามบาร์ เลยทำชีวิตเรายิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตคือการที่ผมได้เจอกับผู้หญิงคนนึงครับ เค้าคือคู่ชีวิตของผมผู้หญิงที่ชื่อ จุลลิดา วิภาหัสน์ เค้าเข้ามาคอยฉุดผมออกจากโลกที่ไร้สาระที่ผมเคยเป็น แต่เรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปดั่งใจเพราะผมต้องรับผิดชอบกับอีกชีวิตนึงที่ต้องเกิดมาที่อยผุ่ในท้องของเธอ ทั้งที่ผมอายุเพิ่ง 21 วัยรุ่นบางคนอาจมองว่าชีวิตที่กำลังจะเกิดมาอาจเป็นอุปสรรคของใครบางคน แต่สำหรับผมคือแรงบันดาลที่เราต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นและประสบความสำเร็วในชีวิตให้ได้ เพราะความสำเร็จมักจะเริ่มต้นจากความไม่พร้อมเสมอ ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองและรีบเรียนจนจบมาได้ตอนอายุ23จากรามคำแหง

หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับงานประจำเพื่อดูแลครอบครัวของผมตั้งแต่นั้นมา ผมมีรายได้จากงานประจำ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่เพียงพอต่อความต้องการของครอบครัว ผมอยากให้ลูกสาวของผมเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆผมเลยส่งเข้าเรียน โรงเรียนเอกชนค่าเทอมอาจดูไม่แพงสำหรับใครบางคน แต่หนักสำหรับผมคือเทอมละประมาณ 25000 ตอนนั้นผมตั้งใจทำงานมากแต่ผลลัพท์ไม่ตอบโจทย์ ผมกับแฟนเลยปรึกษาว่าจะทำอะไรเพิ่มดีเพราะรายได้ทางเดียวไม่พอใช้ วินาทีนั้นเอมสตาร์เลยเข้ามาในชีวิตจากเพื่อนรุ่นพี่คนนึงที่ชื่อโอ้ต แต่เราใช้หูฟัง ไม่ใช้ใจฟัง เลยปฏิเสธไปเพราะเราคิดว่าคนแบบเรา พูดไม่เก่ง บุคลิกไม่ดี เพื่อนน้อยน่าจะทำไม่ได้ จนสุดท้ายผมไปเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัด หลังจากทำงาน 2 งานในเวลาเดียวกันผมสามารถหาเงินได้เดือนละ 50000 บาทในอายุเพียง 24 ตอนนั้นเรารู้สึกว่ารายได้โอเค แต่ผมมาเริ่มเอะใจกับงานที่ทำว่าคุณภาพชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นรึเปล่า ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวส่งลูกขึ้นรถตู้โรงเรียน เจอหน้าพูดคุยกัน 1 ชม. แล้วไปทำงานประจำ 8.00-17.00 กลับมาเจอหน้าลูกที่บ้านครึ่งชั่วโมงเพื่อเอาของไปขายที่ตลาด ปิดร้านกลับถึงบ้านเที่ยงคืน เจอลูกตอนนอนแล้ว เชคบัญชี นอนตอนตี1 ชีวิตของผมเป็นแบบนี้ตลอด 7 วัน เจอหน้าลูกน้อยลง อยู่กับแฟนน้อยลง และไม่ได้เข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่เลย จนโอกาสที่ชื่อเอมสตาร์กลับเข้ามาอีกครั้งจากบุคคลที่ดูเปนมืออาชีพมากขึ้นจากคุณ กอล์ฟ พิชัย อ่องสกุล ทำให้ผมเห็นว่าวิถีชีวิตที่ไร้กังวล และแรงบัลดาลใจของผมคือมีเงินและเวลาในการเลี้ยงดูครอบครับ

ความสำเร็จของผมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตอนผมเริ่มต้นไม่มีใครเหนด้วยกับผมสักคนเดียวแม้กระทั่งคนที่ไว้ใจที่สุดอย่างภรรยาผม ต้องทนฟังเสียงคนปฏิเสธจากทั้งภายนอกภายใน แม่ยายเรียกงานที่ผมทำว่าเป็ยเซลล์ขายยาสีฟัน แต่ถ้าวันนี้เป้าหมายเราชัดเราจะไม่มองปัญหา ผมค่อยๆเปลี่ยงตัวเองทีละนิดๆฟังสื่อ และเข้ารอบประชุมเพิ่มมากขึ้นจนผมใช้เวลาการทำในเดือนแรกเป็น HB รายได้ 2000 บาท และเป็นอยู่นานถึง 3 เดือนจนผมเป็น BZ ในเดือนที่ 4 แล้วน้องน้ำก้อมาเยือนทำให้ตอนนั้นทีมงานเราหายไปหมด เหลือเพียง พี่นัท เมืองสุรินทร์ แค่คนเดียว ตอนนั้นผมมานั่งคุยกับตัวเองอีกครั้งเพราะเสียงจากคนรอบด้านถาโถมเข้ามาอีกครั้งบอกว่าเราไม่มีทางสำเร็จได้ “ถ้าคน1000คนบอกว่าเราไม่สำเร็จ แต่ตัวเราบอกว่าสำเร็จได้ก็คือสำเร็จได้” ผมมองสิ่งที่เหลืออยู่ไม่ได้มองสิ่งที่หายไป จากควมตั้งใจของคนหนึ่งคนทำให้ผมกลับมาสู้ใหม่และเป็น BZ อีก 3 เดือน บางคนอาจรู้สึกท้อไปแล้วเพราะทำ 6 เดือนยังรายได้อยู่ที่ 4500 แต่ผมไม่ท้อ เพระถ้าท้อจะเป็นถ่าน แล้วถ้าผ่านจะเป็นเพชร จนสุดท้ายผมใช้เวลาทั้งหมด 14 เดือนสามารถพิชิตรายได้ 1 แสนบาทด้วยตำแหน่งที่ชื่อว่ารูบี้สตาร์ และทริปการท่องเที่ยว 2 ประเทศ เกนติ้ง-มาเลเซีย และ มัลดีฟ

เคล็ดไม่ลับกับความสำเร็จ
1.ความเชื่อ ความเชื่อของผมไม่เคยตก เชื่อในอัพไลน์ สินค้า ระบบ และที่สำคัญคือตัวเราเอง เราต้องปกป้องความฝันของเราให้ได้ อย่าให้น้ำลายราคาถูกมาดูถูกความฝันของเรา
2.การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนสำเร็จได้หมดดั่งคำที่เค้าว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงตัวเองเท่ากับอัตราการประสบความสำเร็จ ต่อให้เราโปรไฟล์ดี แต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับระบบยังไงก็สำเร็จยาก
3.ไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว รู้แล้ว ถ้าคิดแบบนี้เราจะหยุดการพัฒนาทันที เราจะยิ่งสำเร็จถ้าเราเรียนรู้มากขึ้นๆและเก่งกับงานที่เราทำมากขึ้น
เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลา 5:51 น.

Success Story : Poy Jakaphong Gens

Avatar
Tom Founder18550
ผมจักพงศ์ เรืองฤทธิ์ (ปอย) เติบโตที่พิจิตร เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคอุตสาหการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมแทบไม่มีอะไรโดดเด่น การเรียนพอถูไถ(เกรดนิยม) ผมพูดน้อยมาก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก จนคนรอบข้างมักจะแซวผมบนโต๊ะอาหารเสมอๆว่า “ปอยมึงลืมเอาปากมาหรอ” เพราะผมไม่ค่อยคุยกับใคร แต่สิ่งที่ผมคุยมากกว่าคน ก็คือการนั่งคุยกับคอมพิวเตอร์ (เล่มเกมส์ออนไลน์)
ส่วนตัวนุ้ย เป็นคนโคราช จบคณะวิทยาการจัดการสาขาการตลาดที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น อยู่ในกรอบ เรียนจบ3ปีครึ่งด้วยเกียรตินิยมอันดับ2 นุ้ยทำกิจกรรมองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเกือบหมดต่างจากผมทุกอย่าง แต่ที่นุ้ยเหมือนผมคือพูดน้อย พูดไม่เก่ง บ้านผมขายของโชว์ห่วย บ้านนุ้ยเปิดปั๊มน้ำมัน
เราสองคนถูกครอบครัวสอนตั้งแต่เด็กๆทั่วไป คือให้ตั้งใจเรียนและหางานประจำที่มีรายได้ดีๆ เราจึงตัดสินใจเลือกทำงานประจำที่รับเราเป็นที่แรก เป็นบริษัทโรงงานกระดาษในจังหวัดปราจีนบุรี ทำให้ที่บ้านอุ่นใจที่เราได้งานประจำทำ ผมได้รู้เลยว่าการหาเงินด้วยตัวเองลำบากมาก มันทำให้เราได้นึกย้อนไปในช่วงที่ชีวิตเราสบาย แสดงว่ามีใครบางคนลำบากหาเงินมาให้เรา
ผมตั้งเป้าหมายกับตัวเองอยากให้ครอบครัวที่ต้องทำงานหนักวันละ 18 ชั่วโมง ตื่นตี 3 มาเปิดร้านปิดร้าน 3 ทุ่มทุกวัน ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันเที่ยว ขายมาตั้งแต่อายุ 20 ถึง 60 ขายมาเกินครึ่งชีวิต หลังๆต้องมาเจ 7-11, Lotus มาเป็นคู่แข่งอีกยิ่งลำบาก ดังนั้นผมจะต้องมีรายได้ที่มากพออย่างน้อย 1 แสนบาทต่อเดือนก่อนอายุ 30 ปีให้ได้
ผมใช้เวลาทำงานประจำอย่างหนักใน 2 ปีแรกได้รับเงินเดือนเพิ่มเป็น 40,000 บาท เค้าบอกว่าถ้าอยากรู้อนาคตว่างานที่เราทำอยู่จะเป็นยังไง หมอดูที่แม่นที่สุดในตอนนั้นก็คือ “หัวหน้างาน” ซึ่งต้องใช้เวลาในงานประจำอีก 10-15 ปี จึงจะถึงเป้าหมายอย่างเค้า ผมเริ่มรู้สึกหมดหนทางกับการสร้าง 1 แสนบาทก่อนอายุ 30 ปี ผมอาจจะรอเงินแสนได้แต่กลัวว่าคนที่บ้านจะรอไม่ได้ แต่ไม่มีทางเลือกก็ต้องทนทำไป
อีก 2 ปี สิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น “การทำงานในบริษัทที่มั่นคงใช่ว่าตัวเราจะมั่นคงด้วยเสมอไป” บริษัทได้ออกนโยบายลดพนักงาน ไม่ขึ้นเงินเดือน ชีวิตช่วงนั้นเหมือนกับนาฬิกาที่ดูเหมือนจะเดินไปข้างหน้าแต่ดันกลับมาที่เดิม นี่!!! เราอายุ 26 ปีแล้วนะ อีก 4 ปีจะทำยังไงให้มีเงินแสนเนี่ย??? ผมเริ่มมองหาอะไรทำเพิ่ม มองหาโอกาสใหม่ๆ เปิดบริษัทส่วนตัวกับเพื่อน ทำควบคู่กับงานประจำ ใช้เวลาทำงาน 16 ชม/วัน ผมมีรายได้เพิ่มจริงครับแต่เวลาผมก็น้อยลงไปด้วย มีเงิน แต่ไม่มีเวลาใช้ ไม่มีเวลากลับบ้าน ตจว. เหมือนกับผมกำลังขยันผิดที่ ซึ่งดูอีก 10 ปีก็ไม่รวย
จนวันหนึงมีรุ่นน้องที่มหาลัยมานัดให้ไปฟังเครือข่าย ซึ่งผมมองธุรกิจนี้ว่าเป็นงานขาย คนที่จะสำเร็จต้องพูดเก่งสุดๆ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับบุคลิกของผมโดยสิ้นเชิง ไม่เคยเห็นคนใกล้ตัวประสบความสำเร็จ ผมปฏิเสธโอกาสนี้ทันที ใช้ข้ออ้างว่า “พี่ไม่มีเวลาทำหรอก น้องทำไปก่อนเลยนะ” ผ่านไป 2 เดือนเท่านั้นเอง ผมได้ยินว่า“เต้” รุ่นน้องวิศวกรใช้เวลา 6 เดือนสร้างรายได้ 1 แสนบาท ได้ท่องเที่ยวต่างประเทศด้วย ทำอะไรบ้างผมยังไม่รู้แต่ “ผลลัพธ์”ที่น้องเค้าได้ผมอยากได้ “อะไรนะ! น้องเต้จะมาชลบุรีหรอ?” ผมจัดเวลาทั้งๆ ที่เคยอ้างว่าไม่มีเวลาได้ทันที ผมเลิกงาน 5 โมงตรงเป๊ะ สแกนนิ้วออกเป็นคนแรกของโรงงาน ปกติผมเลิกงาน 1-2 ทุ่มตลอด ที่ผ่านมาผมมัวหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต ตอนนี้ผมอยากหาเงินใช้สร้างชีวิตซะแล้ว ผมขับรถจากปราจีนไปชลบุรีไปกลับ200กิโลเมตรไม่ไกลเลยเพื่อฟังเรื่องราวของธุรกิจ Aimstar ชวนพี่ชายและคุณแม่ไปฟังด้วย ผมเจอกับ“พี่ทอม”แบบอย่างความสำเร็จ ที่พูดไม่เก่งยังเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ พี่ทอมใช้เวลาในเครือข่าย 7 ปี ได้เงิน 5 แสนบาทต่อเดือน ผมมองว่าถ้าผมทำ 10 ปี ได้สัก 3 แสนบาทต่อเดือน ก็ยังคุ้มค่าสุดๆ สำหรับผลลัพธ์นี้
ผมตัดสินใจทำโดยที่เจออุปสรรคแรกจากคนใกล้ตัวทันที “ปอยพูดไม่เก่ง ปอยทำไม่ได้หรอก”(คุณแม่ผมเอ่ยวลีเด็ดนี้) แต่ในเวลานั้นอะไรก็ฉุดไม่อยู่ละครับ เพราะ “โอกาส” มันไม่ใช่ “อากาศ” ที่เราจะสามารถหาได้ทุกที่ในโลกใบนี้ ขนาดงานประจำที่ไม่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้เราทำอะไรไม่เป็นเรายังหัดยังฝึกได้ ถ้า Aimstar ให้ได้ ทำไมเราจะหัดจะฝึกไม่ได้ ผมขอเวลากับคุณแม่ 1 ปี ถ้าไม่เห็นผลลัพธ์อะไรจะกลับไปทำงานประจำก็ยังไม่สาย ผมเริ่มลงมือทำครับทั้งๆ ที่เซนเตอร์อยู่ห่างจากที่พักเกือบ 200 กิโลเมตร เดินทางไปกลับ กทม-ปราจีน ทุกอาทิตย์ เข้าเรียนรู้ทุกรอบประชุมไม่เคยขาด เพราะคิดว่า

เมื่อไม่เรียนใยเล่าเจ้าจะรู้ เมื่อไม่ดูใยเล่าเจ้าจะเห็น
เมื่อไม่ทำใยเล่าจะเป็น ก็ยากเข็ญขัดสนจนปัญญา

ผมฟังสื่อทุกแผ่นที่โค้ชแนะนำ ผมพูดไม่เก่ง ผมฝึกพูด ผมไม่กล้า ก็ต้องกล้า ไม่ลังเลที่จะเชื่อคนสำเร็จทั้งที่อายุเค้าจะน้อยกว่าเรา เชื่อเพราะเค้ามีประสบการณ์ ลงมือทำอย่างมุ่งมั่น
ผมใช้เวลาเพียง 8 เดือน พิชิตรายได้ 100,000 บาทกับ Aimstar คืนคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณแม่กับรายได้ 1 แสนบาท มอบให้ท่านบนเวทีงาน Good Luck ตอนอายุ 27 ปี ปีที่ 2 ได้ทรัพย์สินของตัวเองชิ้นแรกเป็นคอนโดหรู มูลค่า 3.2 ล้านบาท เดือนที่ 24 ได้รายได้เพิ่มเป็น 150,000 บาท ในตำแหน่ง Sapphire Star เพียงระยะเวลา 3 ปี ผมได้ท่องเที่ยวต่างประเทศรวมถึง 5 ประเทศ ขอบคุณ Clover Group ที่ทำให้ผมได้เปลี่ยนแปลงความคิด อยู่ในเส้นทางของคนสำเร็จ มีระบบให้ใช้ทำงาน รวมถึงได้พบเจอสังคมที่อบอุ่น
ผมเชื่อว่า ความแตกต่างระหว่าง ความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ อยู่ที่ความมุ่งมั่นของคน
6 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
มีเป้าหมายให้ชัดเจน “เป้าหมายใหญ่ อุปสรรคเล็ก” เป้าหมาย ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ แล้วใจจะบันดาลแรง
รักการเรียนรู้ วางแผนกับโค้ชก่อนลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ(สะ-หม่ำ-สะ-เหมอ มันสำคัญจริงๆ) ลงมือทำตาม Clover System ด้วยความมุ่งมั่น อดทน
สร้างเครือข่าย คือ การสร้างทีมและทำงานกับคน เราต้องมอง 360 องศา มองถึงอัพไลน์ ดาวน์ไลน์ ไซด์ไลน์ ด้วยการคิดดี(คิดบวก) ทำดี(ซื่อสัตย์) พูดดี(ไม่พูดอย่าเพิ่งทำ ไม่ทำอย่าเพิ่งพูด พูดแล้วต้องทำ ทำแล้วเอามาพูด)
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ มาจากการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ ประเมินตัวเอง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเสมอ เริ่มต้นไม่มีใครดีพร้อมแต่เราต้องพร้อมที่จะดีให้ได้ เป็นแบบอย่างให้องค์กร
มือผู้ให้สูงกว่ามือผู้รับเสมอ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งขอยิ่งอด มองว่าคือธุรกิจของตัวเอง
ผู้นำ คือ คนที่ลุยเป็นคนแรกและยอมแพ้เป็นคนสุดท้าย
เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลา 1:48 น.

Success Story : Mei Fenix

Avatar
Tom Founder18550
“เหมย” ปาณิสรา ชีววัฒนกิจ เหมยเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เหมยเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 4 คน ด้วยการที่ครอบครัวมีลูกหลายคน พ่อแม่จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี เหมยใช้ชีวิตไม่คิดอะไรเหมือนเด็กทั่วไป จนกระทั่งวันหนึ่งเหมยไปงานเลี้ยงกับพ่อและแม่ ระหว่างที่ทานอาหาร มีเพื่อนพ่อคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า แก้ว(ชื่อพ่อ)ลูกคนเล็กก็โตขนาดนี้แล้วทำไมแก้วยังไม่รวยอีก แค่คำเดียวมันทำให้เหมยรู้สึกได้เลยว่า เรายอมไม่ได้ที่จะให้ใครบางคนมาดูถูกพ่อแม่เรา มันทำให้เหมยรู้สึกว่าวันนี้เราเกิดมาจนมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าตายไปเรายังจนนั่นแหละความผิดของเราเต็มๆ

เหมยบอกตัวเองว่ายังไงต้องประสบความสำเร็จในชีวิต เลี้ยงดูพ่อแม่ให้สุขสบายให้ได้ เพราะเชื่อเสมอว่า “หากชีวิตถูกกำหนดด้วยโชคชะตา แล้วจะมีคำว่าพยายามไว้ทำไม” นับจากวันนั้นสิ่งที่เหมยทำได้คือ ตั้งใจเรียน จนสามารถสอบ เข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ อันดับ1 ของภาคใต้ได้  (โดยที่ไม่เคยมีเงินที่จะเรียนพิเศษอย่างเพื่อนคนอื่นๆ)และสามารถจบเกียรตินิยมอันดับ 2 รวมทั้งได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณเป็นนักกิจกรรมตัวอย่างด้านวิชาการ เป้าหมายแรกเหมยสำเร็จแล้วค่ะ เหมยได้รับการปลูกฝังและเชื่อมาเสมอว่าการที่เราประสบความสำเร็จในการเรียนจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ความจริงก็ถูกเปิดเผยเพราะหลังจากที่เหมย เรียนจบ เหมยมีโอกาสขึ้นมาทำงานประจำที่กทม.เหมยร่วมงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ด้วยเงินเดือน 14,000 บาท ทำได้ประมาณ 1 ปี เค้าบอกว่าถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง ให้เราดูรุ่นพี่ในสายงานเดียวกันที่อยู่มาก่อนเรา 5 ปี 10 ปี ชีวิตเขาเป็นอย่างไร ชีวิตเราก็คงไม่ต่างกันมาก เหมยมีโอกาสถามหัวหน้างาน ผลลัพธ์คือ พี่เขาบอกว่าพี่ทำงานมา 12 ปี ย้ายมา 3 บริษัท ปัจจุบันมีเงินเดือนๆละ 35,000 บาท เพิ่มขึ้นประมาน 1,000 บาทต่อปี วันนั้นเองเหมยรู้สึกได้เลยว่า ความสำเร็จมันช้าไป เพราะเวลาที่ผ่านไปแต่ละปีนั้นมันหมายถึงอายุเราที่เพิ่มขึ้นและอายุของพ่อแม่เราที่เหลือน้อยลง

เหมยรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่คิดได้ว่า ทำไมพ่อแม่ 2 คนที่จบแค่ ป.4 สามารถส่งลูกเรียนจนจบ ป.ตรี 2 คน ป.โท 2 คนได้ แต่ทำไมลูก 4 คน ถึงเลี้ยงดูพ่อแม่ ให้พ่อแม่หยุดทำงานไม่ได้ เหมยเลยบอกตัวเองเลยว่าเราต้องหาอะไรทำเพิ่มเพราะเชื่อว่ายังไงรายได้ 2 ทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียวแน่นอนและแล้วโอกาสดีก็มาถึง เหมยได้มีโอกาสรับฟังเรื่องราวความสำเร็จในธุรกิจจากรุ่นพี่คนหนึ่ง เหมยเปิดใจฟัง ไม่เอาคำว่า “รู้จัก” มาปิดกั้นคำว่า “รู้จริง” มันทำให้เหมยพบว่าธุรกิจมีความคุ้มค่าที่จะจัดเวลามาทำ เพราะแผนยุติธรรมสมัครก่อน หรือสมัครหลัง บริษัทก็จ่ายเท่ากัน อีกทั้งเหมยมีโอกาสได้ลองใช้สินค้า แล้วเห็นผลกับตัวเองจริงๆ เหมยเลยรู้เลยว่าธุรกิจนี่แหละสามารถตอบโจทย์ความฝันเหมยได้จริงๆ เป้าหมายเหมยคือ ซื้อรถมูลค่า 1 ล้าน บ้านมูลค่า 4 ล้าน รวมทั้งมีเงินให้พ่อแม่เดือนละ 50,000 บาท ให้ท่านหยุดทำงานได้ ก่อนเหมยอายุ 30 ปี

เหมยทำธุรกิจนี้คู่กับการทำงานประจำ สิ่งที่เกิดคือ เหมยเริ่มต้นด้วยความไม่พร้อม 2 เรื่องหลักๆ


1.พ่อแม่ไม่เห็นด้วย เพราะพ่อเคยล้มเหลวในธุรกิจเครือข่ายมาก่อน เหมยเข้าใจค่ะที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้เราทำเพราะท่านเป็นห่วงเราไม่อยากให้เราโดนหลอกหรือเหนื่อยฟรี แต่เหมยแอบทำเพราะคิดว่าตอนเด็กๆเหมยก็เคยทำในสิ่งที่พ่อแม่ห้ามไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง และทำไมครั้งนี้เราถึงจะยืนหยัด อดทนทำในสิ่งดีๆ ก็เพื่อความสุขของท่านไม่ได้ เหมยขอเวลาที่บ้าน 1 ปีพิสูจน์ว่าจะสร้างรายได้ขั้นต่ำ 50,000 บาทต่อเดือน ให้ท่านเห็นค่ะ


2.เหมยมีรายได้น้อย เลยมีข้อจำกัดในการใช้สินค้าในช่วงแรก เพราะแอบรู้สึกว่าสินค้าราคาค่อนข้างสูง แต่พอเราได้ลองใช้ แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เลยเข้าใจว่าจริงๆแล้วสินค้าราคาไม่ได้สูง แต่ราคาคุ้มค่ากับคุณภาพต่างหาก และที่สำคัญ วันแรกที่เหมยเพิ่งเริ่มทำธุรกิจการซื้อเจลอาบ น้ำราคา 405 บาท รู้สึกว่าแพงมาก แต่มาวันนี้เหมยประสบความสำเร็จมีรายได้หลักแสน ซื้อเจลอาบน้ำขวดละ 405 บาทเท่าเดิม กลับรู้สึกว่าทำไมวันนี้เราไม่รู้สึกว่าราคาสูงแล้วเพราะซื้อแล้วนอกจากได้ใช้สินค้าคุณภาพดี ยังได้รับเงินทอนมาอีกตั้ง 99,595 บาท

ตั้งแต่เหมยเริ่มทำธุรกิจนี้มาจนสำเร็จมาเป็น ตำแหน่ง RB Star สิ่งที่เหมยได้รับคือ รายได้ประมาน 1 แสนบาทต่อเดือน ทำให้เหมยสามารถดูแลตัวเองได้ จนพ่อแม่สามารถบอกกับคนอื่นๆได้ว่า "ตั้งแต่เหมยจบมาเหมยไม่เคยต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ซักบาท" นี่และคือความสุขและความภาคภูมิใจของคนเป็นลูก ที่สำคัญ เหมยยังสามารถช่วยผ่อนรถในฝันของพ่อได้ด้วย รวมถึงนับจากวันที่สำเร็จและต่อไปจากนี้ทุกมื้ออาหารที่ได้ทานกับพ่อแม่ เหมยขอเลี้ยงท่านเอง เพราะเหมยไม่รู้ว่าเหมยโตมาจากข้าวมื้อไหน รู้แต่ว่าข้าวทุกมื้อที่ผ่านมา มันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อกับแม่  ธุรกิจนี้นอกจากรายได้หรือ ทรัพย์สินที่ได้รับแล้ว เหมยยังได้รับอิสรภาพด้านเวลา ทำให้มีโอกาสไปท่องเที่ยวประเทศฮ่องกง มาเก๊า และ มัลดีฟกับบริษัทเอมสตาร์ฟรีอีกด้วย รวมถึงได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้ปัจจุบันเหมยมีสุขภาพดี ไร้โรคภัย หน้าตาก็ดูดีขึ้นได้ อีกเรื่องหนึ่งคือ กลุ่ม Clover Group ทำให้เหมยได้รู้ว่ามิตรภาพดีๆที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร

เหมยอยากบอกว่า "เม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย คนทั้งหลายนับไม่ถ้วนในคุณค่า ทรายจะแกร่งเพราะผ่านการเวลา คนจะกล้าเพราะผ่านความอดทน"

เคล็ดลับความสำเร็จของเหมย


- Learning ต้องรักการเรียนรู้ ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว "รู้แล้ว" เพราะถ้าเรารู้แล้วจริงๆเราคงสำเร็จไปแล้ว"


- Opportunities กล้าที่จะส่งมอบโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้คน ด้วยหัวใจของผู้ให้ โดยรู้สึกและเชื่อจริงๆว่าโอกาสนี้ดีสำหรับเรา และดีพอสำหรับทุกๆคน


- Vision มีวิสัยทัศน์มองความคุ้มค่าของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก2-5ปี โดยไม่รอให้เจอวิกฤติก่อนถึงค่อยทำ


- Extraordinary  เราต้องรู้สึกว่าทุกคนคือคนพิเศษ สำหรับเรา

1.ผู้เปิดโอกาสทางธุรกิจ เป็นผู้มีพระคุณ ที่ให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตกับเราและครอบครัว

2.UL เป็นคุณครูที่ดีตลอดเส้นทาง เป็นผู้ไม่เคยเบื่อและเหน็ดเหนื่อยที่จะสอนให้เรา ประสบความสำเร็จ

3.DL เป็นผู้รับโอกาส ทำให้เรามีแรงบันดาลใจ และความสำเร็จในทุกวันนี้

4.SLเป็นภาพความสำเร็จที่จับต้องได้ เป็น แรงขับเคลื่อนที่ดีตลอดเส้นทาง ทำให้เรารู้ว่า "เขาทำได้เราทำได้"
***LOVE การที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น เราต้อง"รัก"ในสิ่งที่ทำ
เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลา 1:43 น.

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Pat Clover Time

Avatar
Tom Founder18550
‘การมีมิตร ย่อมดีกว่ามีศัตรู’ แต่ผม แพท พัชรพงษ์ สุนทรเจริญวงศ์’ ไม่ต้องการมิตร และในชีวิต ไม่เคยกลัวศัตรู’ ผมเป็นคนที่มีนิสัยหยิ่ง พูดจาขวางโลก ชอบดูถูก และเกลียดผู้คน ผมเชื่อว่าชีวิตของลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งนั้น ต้องทรนง ด้วยนิสัยแย่ๆ แต่ผสมผสานด้วยความมั่นใจ วันที่ผมจบการศึกษา ผมได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ ปริญญา เกียรตินิยม ได้เริ่มงานที่ชอบทันที ความมั่นคง ยกเว้นสิ่งเดียว ‘เพื่อน’

3 ปีที่แล้ว มีคนมาชวนผมไปฟังธุรกิจเครือข่าย ผมไปโดยไม่คิดมาก เพราะแต่เดิมคิดว่างานประจำและเงินเดือนหลักหมื่น ไม่คู่ควรกับความสามารถ ค่าเล่าเรียนต่างประเทศ และค่าเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ครอบครัวส่งเสียหลายล้านบาท ผมอยากมีธุรกิจส่วนตัวและมีรายได้ให้คุ้มค่าตัว ในวันนั้น ผมได้ฟังประวัติคนที่ประสบความสำเร็จรายได้หลักแสนต่อเดือนทั้งๆที่จบแค่ ป.4 จึงคิดง่ายๆว่า เรามีโอกาสเรียนสูงกว่าตั้งเยอะ ทำไมเราจะทำไม่ได้ ผมตัดสินใจสมัครและซื้อของชุดเริ่มต้นทันทีหลังฟังจบ

แต่การเริ่มต้นของผมนั้นไม่ได้ราบรื่น ผมไม่เข้ารอบประชุม เพราะขี้เกียจรำคาญ มีโค้ชที่ปรึกษามาช่วยแนะนำ ผมก็ปิดโทรศัพท์ไม่รับสาย ผมคิดว่าธุรกิจง่ายๆแบบนี้จะต้องมีพิธีการอะไรนักหนา จากคนที่มีรายชื่อน้อยอยู่แล้วเพราะไม่เคยทำดีกับใครไว้ ยังอีโก้สูง ไม่ยอมเรียนรู้ ทำให้ผมโทรนัดใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว พอใกล้สิ้นเดือน ด้วยกลัวเสียหน้า ผมขอร้องคุณแม่และญาติๆมาช่วยกันซื้อของช่วยทำยอด ทำให้สิ้นเดือนผมก็มีรายได้ 12,000 บาท โดยที่ไม่มีใครที่สมัครเข้าระบบ ดีใจได้วันเดียว คุณพ่อรู้ว่าผมทำเครือข่าย ท่านโกรธมากและบังคับให้ผมเลิก พอผมไม่เลิก เบี้ยเลี้ยงผมจากทางบ้านถูกตัดทั้งหมด และเราพ่อลูกก็ไม่คุยกันเกือบปีเลยทีเดียว หลังจากนั้นคนของคุณแม่ที่เคยเกรงใจซื้อของก็ไม่รับสายโทรศัพท์ หลบหน้าหลบตา เดือนที่ 3 รายได้หลักหมื่นเหลือหลักร้อย ผมอยู่แบบชวนใครไม่ได้ อายคนอื่น ไม่มีเงินจากทั้งที่บ้านและธุรกิจ เป็นช่วงเวลาชีวิตที่สิ้นหวังมากๆถึง 4เดือนเต็ม

ชวนคนตั้งเยอะ ไม่มีใครเค้าจะทำ ซื้อของหลายหมื่นยังไม่เห็นว่าจะคุ้มเลย ชีวิตดีอยู่แล้วต้องมาอายคน ต้องมาทะเลาะกับพ่อตัวเอง ซวยจริงๆ มาถึงตรงนี้ หากผมตัดสินใจเลิกทำ ผมคงจะกลายเป็นหนึ่งในสมาคมแอนตี้เครือข่าย โพสท์ด่าธุรกิจในอินเตอร์เน็ทในฐานะเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เหมือนที่หลายๆคนทำ แต่ผมมีความคิดที่ว่า แล้วคนที่ไม่ได้โอกาสเรียนหนังสือ ทำไมเค้าทำได้ ทั้งๆที่เราเกิดมาพร้อมกว่า หรือจริงๆแล้วที่ผ่านมาเราแค่จริงจัง แต่ยังไม่ถูกทาง เกมทุกเกมมีกติกาและเงื่อนไขของมัน ต่อให้ตั้งใจ แต่ถ้าเล่นนอกเกมมันจะไปชนะได้อย่างไร ผมตัดสินใจยังไม่เลิก ยอมถอยหนึ่งก้าว โทรหาโค้ชที่ปรึกษาของผม และถามเค้าว่าผมต้องทำอะไรบ้างจะได้หลักแสน หลังจากได้คุยกัน ผมให้สัญญา 2 ข้อ คือจะตั้งใจศึกษา เรียนรู้สื่อดีวีดีทุกแผ่นที่โคลเวอร์กรุ๊ปมี เรียนหมอเรียนวิศวะยังเรียนกันหลายปี จะจบโทให้เงินเดือนเริ่มต้นที่สองหมื่นยังต้องเรียนต่อแพงๆอีกสองปี ผมจะทำธุรกิจหลักแสน ถ้าไม่เรียนรู้อะไรใหม่ๆบ้าง เส้นทางนี้คงจะไม่ง่าย ข้อที่ 2 ไม่ขาดรอบประชุม งานที่เงินเดือนเดือนละหมื่นกว่าบาท เข้าเช้าออกมืด ทำงาน 5-6 วันในหนึ่งสัปดาห์ ผมยังเข้าได้ไม่กล้าขาด นี่ผมอยากได้ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่ผ่านมาทำแบบขอไปที เข้าประชุมบ้างไม่เข้าบ้าง เมื่อเราไม่ให้เกียรติงาน งานนี้คงไม่ให้เกียรติเรา

หลังจากลองฟังสื่อและเข้าระบบติดกันหนึ่งเดือน ฟัง จด ทวน พูด ทำซ้ำ ทั้งในและนอกรอบ ทัศนะคติต่อผู้คนผมเปลี่ยนไป งานที่ต้องทำกับคน ถ้าไม่มีใจรักผู้คนคงทำไม่ได้ เมื่อรู้สึกดีแล้ว ผมเริ่มฝึกซ้อมการคิดและพูดตามหลักคำแนะนำของสื่อ เปลี่ยนแปลงตัวเอง เสื้อผ้า หน้าผม กระทั่งสีหน้า แววตา รอยยิ้ม ท่าทาง ผมได้ทักษะที่สามารถนัดคน เคลียคำถาม ติดตาม และพาคนเข้าระบบได้อย่างมืออาชีพ ผ่านไป 3 เดือน ผมได้รายได้ 14,000 บาท หนึ่งปีผ่านไป มีรายได้ 100,000 บาทแรกได้ ปัจจุบันผมมีรายได้อยู่ที่ 160,000 บาทต่อเดือน พร้อมซื้อรถเบนซ์สปอร์ต มูลค่า 4 ล้านบาทเป็นของขวัญวันแม่ให้คุณแม่ ได้เที่ยวรอบโลกจากธุรกิจนี้มากกว่า 9 ประเทศ ไม่นาน คุณพ่อกับคุณแม่ได้เปิดใจสมัครเข้ามาทำธุรกิจด้วย จนได้รายได้ 100,000 บาทแรกภายใน 3 เดือน และได้เที่ยวต่างประเทศร่วมกัน แต่สิ่งที่น่ายินดีคือ หลังจากเปิดใจให้ผู้คน ปัจจุบัน ผมได้พบเพื่อนใหม่ดีๆในโคลเวอร์กรุ๊ป มากกว่าจำนวนเพื่อนรวมกันทั้งชีวิตเสียอีก

ธุรกิจนี้ไม่ได้ยากที่ต้องคุยกับคนเยอะ แต่มันยากที่จะต้องคุยกับตัวเองให้จบ ว่าเราพร้อมจริงจังแค่ไหน

1. เกมทุกเกมมีกติกาและเงื่อนไขของมัน ธุรกิจนี้ก็เช่นกัน ก่อนจะบอกว่าเราทำไม่ได้ ขอให้เปิดใจเรียนรู้กติกาและลองเล่นตามรูปแบบของเกมนั้นเสียก่อน คุณจะรู้ว่ามันชนะได้ไม่ยาก
2. เมื่อตัดสินใจเริ่มแล้วต้องจริงจัง นักกีฬาที่เก่งยังต้องฝึกวันละ 8 ชั่วโมง ผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆทำงานวันละ 10-15 ชั่วโมง เมื่อเรารักและจัดเวลาทุ่มเทให้งานที่ทำ งานก็จะรักและตอบแทนเรา
3. สุดท้าย คนที่วิ่งไปไม่ถึงเส้นชัยนั้นไม่มี มีแต่คนที่ล้มเลิกและออกจากลู่วิ่งไปก่อน ผมเคยท้อแท้และเหนื่อยล้าเช่นเดียวกับคนทั่วๆไป แต่ธุรกิจนี้ไม่มีที่ 1 2 3 ทุกคนที่สามารถยืนหยัดจนเข้าเส้นชัยได้มีแต่ ‘ผู้ชนะ’ ในธุรกิจที่ใครๆก็ทำได้ มันไม่สำคัญว่าคุณล้มกี่ครั้ง แต่คุณเข้าเส้นชัยได้ครั้งเดียวเท่านั้น คุณจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ทันที ขอให้ทุกคนโชคดี และพบกันที่เส้นชัยของคนสำเร็จครับ
เมื่อวันที่ 24 กันยายน เวลา 15:06 น.

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

Success Story : Ja Clover Zeeds

Avatar
Tom Founder18126
ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิดเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลางครับ ครอบครัวเรามีเงินไม่มากมายแต่ด้วยความที่พ่อแม่เป็นคนขยันแม้ว่าการศึกษาของทั้ง 2 จะไม่ได้สูงอาชีพรับจ้างทั่วไปของแม่และพนักงานบริษัทเงินเดือนหมื่นกว่าของพ่อก็สามารถเลี้ยงเรา 3 คนพี่น้องจบการศึกษาได้ การทำงานหนักของท่านทำให้ผมในฐานะลูกคนโตคิดได้ตั้งแต่ยังเด็กว่าเราต้องตั้งใจเรียนเพราะ "การศึกษา" จะทำให้ครอบครัวเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเราต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวคนต่อไป ผมจบการศึกษาระดับมัธยมจาก ร.ร.วัดพุทธบูชาจบด้วยคะแนนเฉลี่ยลำดับที่ 1 ในระดับ ม.ปลาย และได้โค้วต้าเข้าศึกษาต่อที่วิชาเอกวาสารศาสตร์ สาชาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นผู้สื่อข่าว TV ไม่ต้องการแย่งงานกับเพื่อนที่เรียนจบหลายหมื่นคนทำให้ผม "คิดไปเอง" ว่าการจบเกียรตินิยมน่าจะสู้กับคนอื่นได้ ทั้งการหางานที่ง่ายกว่าและเงินเดือนที่สูงกว่า แน่นอนครับ "ผมจบเกียรตินิยม" แต่ที่คิดผิดคือ..ผมรับเงินเดือนแรกรวมค่าเกียรตินิยมแล้ว 9,000 บาท!!! 4 ปีในการตั้งใจอ่านหนังสือไม่ได้การันตีว่าเราจะมีรายได้มากพอเพราะสุดท้ายเราไม่สามารถกำหนดเงินเดือนของเราได้ เราต้องยอมรับว่า "ลูกจ้างที่อยากได้เงินเยอะๆ" กับ "นายจ้างที่อยากจ่ายเงินน้อยๆ" สวนทางกันจึงไม่มีใครเคยเห็นลูกจ้างรวย จริงมั้ยครับ?

การทำงานเป็นผู้สื่อข่าวไม่มีเวลา ต้องทำงานไกลบ้าน ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงชีวิต  หลายครั้งเราอยู่ในการชุมนุมที่กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงพ่อแม่ไม่สามารถติดต่อเราได้เพราะสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัด รายได้เฉลี่ยเพิ่มเพียงปีละ 500 บาท รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้างานใช้เวลาเกือบ 20 ปีมีรายได้ 27,000 บาท ถ้าถึงวันนั้นผมไม่มีโอกาสได้เป็นหัวหน้าหล่ะ? แต่ถึงจะผมพยายามจนได้เป็นแต่ในอีก 20 ปีข้างหน้าข้าวราดแกงจานละกี่บาท ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมลล์ ค่าน้ำมัน ราคาทอง ฯลฯ จะเพิ่มขึ้นขนาดไหน ? คิดดูแล้ว 27,000 ในวันนั้นคงไม่ต่างจากหมื่นกว่าบาทในวันนี้ พอกันที !!! มองหาธุรกิจทำเองดีกว่า เงินลงทุนมีมั้ย ประสบการณ์ล่ะ ? พร้อมที่จะกู้เงินมาเสี่ยงมาลงทุนมั้ยกับเศรษฐกิจแบบนี้หรือไม่ ? คำตอบคือ...ไม่พร้อม !!!

จังหวะนี้ผมได้รู้จักกับเอมสตาร์เพื่อนร่วมงาน 2 คนซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำเครือข่าย ผมสนใจธุรกิจนี้เพียงเพราะอยากมีรายได้เพิ่มแค่ 2,000 บาทช่วยพ่อจ่ายค่าไฟเท่านั้น เมื่อศึกษารอบด้านและตัดความรู้สึกเดิมๆออก "ปิดหู" ไม่ฟังพวกคิดว่าอย่างงั้นอย่างงี้่ไม่เคยลงมือทำหรือเคยทำแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ผมถามคุณตรงๆ คุณจะฟังคนเหล่านี้ไปเพื่ออะไร ? สู้เรา"เปิดหู" ฟังเฉพาะคนสำเร็จที่เอาชนะอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าครับ เพราะ "เกมส์นี้เรามีทางชนะ" ไม่เหมือนงานประจำแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเพราะรายได้เราขึ้นอยู่กับปลายปากกาของคนอื่น

เมื่อผมศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผ่านสื่อต่างๆและรอบประชุมของโคลเวอร์กรุ๊ปทำให้ผมเชื่ออย่างมีเหตุผลว่าเอมสตาร์  "ต่าง" และ "เหมาะ" กับคนอย่างเราจริงๆ...
เราไม่ชอบขายของ แต่เราซื้อของใช้ทุกเดือน
เราพูดไม่เก่ง แต่หลายครั้งเราก็พูดไม่หยุดในสิ่งที่เรารู้จริง
เราโครตขี้เกียจ แต่เราก็ไม่เคยขาด ลา มาสาย ในงานประจำเลย
เราไม่มีเวลา (ให้ตัวเอง) แต่เรากลับมีเวลาให้กับงานของคนอื่นซึ่งเรามีมากซะด้วยวันละ 10 โมง
เราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราก็เคยพยายามจนเรียนจบเกียรตินิยมรับเงินเดือน 9,000 บาทมาแล้ว เยอะมาก 5555

ใช้สินค้า คือ ความหนักใจในช่วงแรกเพราะรู้สึกว่า "แพงเหลือเกิน" ทำใจไม่ได้ สุดท้ายตัดใจซื้อน้ำมันรำข้าว 1 กระปุกให้แม่ลองทานปัญหาสุขภาพแม่ดีขึ้นใน 15 วัน แม่ไปคุยต่อมีคนฝากซื้อมา 56 กระปุก / ตัดใจซื้อ ASNI 3 ชิ้น แม่เจ้า!!! เกือบ 3,000 ใช้สัปดาห์เดียวสิวอักเสบแห้งหน้าดีขึ้นเพื่อนทักและตามเข้ามาทำธุรกิจเรามีรายได้เดือนนั้น 8,900 บาท สรุปได้ว่าทุกครั้งที่เราจัดหนักใช้สินค้าแบบหลุดกรอบคำว่าแพง รายได้เราเพิ่มขึ้นแบบน่าตกใจเสมอเพราะแท้ที่จริง "การใช้สินค้าคือการลงทุนกับตัวเองในการทำธุรกิจครับ"

การเข้าเรียนรู้ในรอบเซ็นเตอร์ ช่วงแรกยอมรับว่าโครตยากในการตัดสินใจฝ่ารถติดนั่งรถไกลหลังเลิกงานมานั่งประชุม ประชุม ประชุม เป็นใครใครก็เบื่อ อยากกลับบ้าน อยากไปเดินห้าง ดูหนัง ฟังเพลง รีแล็คผ่อนคลาย แต่ทันทีที่เปิดดูกระเป๋าตังค์ "ว่างเปล่า"  เหลือ 300 บาทบ้าง 30 บาทบ้าง ถามตัวเองจะกลับบ้านหรือไปหาเรื่องใช้เงินเพื่ออะไรมาเซ็นเตอร์เอาความรู้ไปหาเงินดีกว่า การชวนเพื่อนยากในช่วงแรกครับเพราะเราไม่มีข้อมูลในการตอบคำถามเดือนแรกชวน 10 โดนปฏฺิเสธ 9 คน เถียงกันไปเถียงกันมาสุดท้ายเราแพ้ โดนด่าเละเทะ อับอายเพราะตอบคำถามไม่ไดแต่ในเดือนที่ 2 จากการเข้าเซ็นเตอร์ตัดสินใจไป "งานแคมป์" ทำให้เราชวนเพื่อนที่ตัดสินใจทำธุรกิจได้ถึง 18 คน

ความฝันที่ปราศจากการลงมือทำคือ "ความเพ้อฝัน" ในทางตรงกันข้ามความฝันลงมือทำ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคคือ "ความใฝ่ฝัน" ขอบคุณแบบอย่างที่ดีตั้งแต่เด็กจนโตคือพ่อกับแม่ที่ท่านทั้ง 2 ไม่เคยเลือกงาน ผมมั่นใจว่าการรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า งานแก้ซิปเปลี่ยนทรงกางเกง งานรับจ้างรายวันที่แม่ทำ น่าจะไม่ใช่งานที่แม่ชอบ ขอบคุณการทุ่มเททำงานหนักของพ่อตื่นเช้ากลับดึกอยู่เป็นประจำแต่เพราะท่านมีเป้าหมายอยากให้เรา 3 คนพี่น้องเติบโตมีการศึกษาทำให้ผมหมดข้อโต้แย้งในว่าเราชอบหรือเราไม่ชอบในธุรกิจนี้ ไม่คิดล้มเลิกเพราะมีท่านทั้ง 2 เป็นแรงบันดาลใจการเป็นไดมอนด์สตาร์ที่มีรายได้ต่อเดือน 3 แสนบาทมีบ้านให้กับพ่อแม่รถยนต์ 2 คันคอนโดมิเนียม 2 ที่ และ 14 ทริป การท่องเที่ยวมันคือรางวัลของการยืนหยัด อดทน แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันคือการที่คนที่เรารักหมดห่วงและมั่นใจว่าเราคือหัวหน้าครอบครัวคนต่อไปที่จะดูแลคนทั้งบ้านให้มีความสุข
เคล็ดลับความสำเร็จ
สัญญากับตัวเองว่าจะยืนหยัด 3-5 ปีและรักษาสัญญา
เข้าเรียนรู้อยู่ในบรรยากาศของคนสำเร็จและลงมือทำ
เชื่ออัพไลน์ ซื่อสัตย์กับดาวน์ไลน์ มีพันธะสัญญากับเป้าหมายของตนเอง
2 วันที่แล้ว เมื่อเวลา 5:47 pm 

Success Story : Tae Clover Gens

Avatar
Tom Founder18126

ผมอร่าม ชวเจริญพันธ์ เต้ครับ กว่าจะมีวันนี้ได้ เมื่อก่อนผมเรียนไม่เก่ง พูดไม่เก่ง ไม่มีเวลา และ มีชีวิตที่ดีอยู่แล้วครับ ทุกคุณสมบัติของผมมีที่มาที่ไปนะครับ

ตอนที่1 “พูดคล่องเพราะคลุกคลี พูดดีเพราะคุ้นเคย”
ผมเรียนไม่เก่ง พูดไม่เก่ง เพราะ ผมไม่ชอบเรียน และกิจกรรมที่เกลียดที่สุดตอนเรียน คือ งานที่ต้องมานำเสนออาจารย์และเพื่อนๆหน้าห้อง
โชคดีที่ผมได้คำตอบว่า“เกรดไม่ได้มีผลกับชีวิตมากนัก” ผมพบว่าการได้เกรดBเป็นB+ ชีวิตไม่ได้ต่างกันเลย มีเยอะแยะที่คนล้มเหลวในการเรียนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่าพวกประสบความสำเร็จในการเรียน
ผมไม่สนงานประจำตั้งแต่สมัยผมเรียน งานประจำไม่ใช่ไม่ดี แต่ผมรับไม่ได้กับการต้องทนตื่นเช้า ทนทำสิ่งเดิมไม่ชอบ เจอเพื่อนร่วมงานไม่จริงใจ พบเจ้านายที่บ่นตลอดเวลา และค่าตัวเราต่อเดือนที่เรากำหนดเองไม่ได้ ติดต่อกัน40ปี(อายุ20ปีทำงานถึง60ปีถ้าไม่โดนไล่ออกก่อน) เรื่องพวกนี้โชคดีที่ผมคิดได้เองตอนฝึกงานตอนอายุ22ปี เพราะวิชา“คิดกับชีวิตเพื่อประสบความสำเร็จ”มหาลัยไม่ได้สอน
    หลักฐานว่าเรียนไม่เก่งผมเรียนวิศวกรรม เมเจอร์ไฟฟ้า มหาลัยเชียงใหม่ 5 ปีครึ่งกว่าจะจบเกรดเฉลี่ย2.08

ตอนที่2 “มีเงินเป็นหมื่นล้าน ก็ซื้อคำว่าเมื่อวานไม่ได้”
ผมไม่มีเวลาเพราะผมมีความคิดหาเงินดูแลตัวเองตั้งแต่เรียน ผมเคยเจอเหตุการณ์แปลกๆกับเพื่อนผมที่ชอบพูดว่า“ผมโตแล้วนะแม่”แต่สุดท้ายยังแบมือขอเงินแม่อยู่เลย ผมว่าไม่ใช่ ผมเลยเป็นอาจารย์สอนพิเศษหาเงินเอง สอนฟิสิกส์มัธยมปลาย รายได้ดีมากประมาณ40,000-50,000บาทต่อเดือน แต่สอน7วันต่อสัปดาห์ ไม่ได้พัก ตอนนั้นผมเป็นคน “มีเงินแต่ไม่มีเวลา” ทั้งที่เพื่อนส่วนมาก “มีเวลาแต่ไม่มีเงิน” และแปลกใจสุดๆตอนฝึกงานได้รู้ว่าพวกที่ทำงานบางคน “ไม่มีทั้งเงินและเวลา” ก็มีด้วย แต่พ่อผมสอนว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินคือ เวลา คนรวย คนจน ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าจะเอา24ชม.ไปทำอะไร

ตอนที่3 “อย่าให้คำว่าดีอยู่แล้ว มาขวางคำว่าดีกว่า”
ผม(เคยคิดว่า)ชิวิตตัวเองดีอยู่แล้วเพราะที่บ้านผมมีธุรกิจที่ดี ผมมีรถยนต์คันละล้านกว่าบาทตอนอายุ20ปี พ่อกับแม่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศและนอกประเทศบ่อยครั้งอยู่แล้ว ผมหาเงินเองได้เดือนละ40,000บาท ผมเป็นลูกคนเดียว
ส่วนภรรยาผม อดิศรา วรรธนาศิรกุล(อ่าย) เธอเรียนจบคณะอุตสาหกรรมเกษตร เมเจอร์ food science เธอจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ2 เกรดเฉลี่ย3.60 และทำงานในหน่วยงานการศึกษาเอกชนของอเมริกาประจำประเทศสิงคโปร์ ซึ่งรายได้ดีมาก และที่บ้านของเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับอาหารชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่นี่คือองค์ประกอบที่ทำให้ผมคิดว่าชีวิตดีอยู่แล้ว

ตอนที่4 “เชื่อง่ายไม่ได้แปลว่าโง่ เชื่อยากไม่ได้แปลว่าฉลาด”
     วันที่ผมได้เจอธุรกิจเครือข่ายจากเพื่อนสนิทวันแรกได้ทำการปฏิเสธจะฟังทันทีแบบไม่เกรงใจ เพราะคิดว่าการทำเครือข่าย“ภาพลักษณ์”แย่มาก ไม่มีทางที่ผมจะทำงานที่ต้องตื้อ ง้อ ขอ ขาย เด็ดขาด แต่ด้วยการที่เพื่อนชวนต่อเนื่องติดต่อกัน2เดือนจึงทำให้ผมยอมฟังด้วยความเกรงใจ วันที่ฟังไม่“เต็มใจฟัง”แต่“ตั้งใจฟัง”เพราะอยากฟังให้เข้าใจ จะได้ปฏิเสธเพื่อนแบบมีเหตุผล แต่พอผมได้เจอคนสำเร็จได้เห็น“ผลลัพธ์ที่มีที่มาที่ไป สินค้าดี แผนดี ระบบดี เป็นไปได้”ทำให้ผมเชื่อและทำทันที

ตอนที่5 “เรียนเยอะแต่ไม่ทำระวังช้ำ ทำเยอะแต่ไม่เรียนระวังเพี้ยน”
     ตอนเริ่มต้นพ่อ แม่ และอ่าย ไม่เห็นด้วยเลย แต่ผมไม่แปลกใจเพราะพวกเค้าไม่ได้รับข้อมูลเหมือนที่ผมได้รับ แต่ผมเชื่อว่าถ้าผมสำเร็จได้ครอบครัวของผมก็จะมีความสุขไปด้วยแน่นอน ผมเลยขอเวลา1ปีลองทำเต็มที่ดู ถ้าไม่สำเร็จผมจะเลิก ทุกคนเลยยอมให้ทำ
     เดือนแรกผมมั่นใจในเครดิตตัวเองมากๆ ชวนเพื่อนสนิทไปหลายคน แต่ไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย เพราะ สื่อที่ผู้เปิดโอกาสผมให้ดูผมก็ไม่ดูเพราะขี้เกียจ รอบประชุมผมก็ไม่ไปเพราะไม่ชอบ ดูวุ่นวาย ก็เลยไม่แปลกที่อธิบายให้คนที่ไปชวนให้เข้าใจธุรกิจไม่ได้เลย เดือนแรกได้เงินจากธุรกิจ 4 บาท ท้อมากครับ แต่ก็ไม่โทษใครเราดื้อเอง จากนั้นเลยเริ่มทำตามระบบ Clover System เต็มที่และมีอ่ายเข้ามาช่วยด้วยเพราะเห็นเราตั้งใจ เหลือเชื่อ เดือนที่6รายได้ผม100,000บาท เดือนที่18รายได้ผม200,000บาท เดือนที่40รายได้300,000บาท

ตอนที่6 “จงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น จะได้เป็นในสิ่งที่เราเชื่อ”
     รายได้ที่มากขึ้นทำให้ชีวิตดีขึ้น ทุกคนในครอบครัวเปิดใจยอมรับ เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่ซื้อคุณภาพชีวิตได้ ในเดือนที่15ที่ทำผมได้ซื้อคอนโดมูลค่า3ล้านบาท เดือนที่18ผมได้ซื้อรถในฝันAudi TT มูลค่า2.8ล้านบาท และผมยังมีเวลาของตัวเองมากพอที่จะไปเที่ยวฟรีต่างประเทศมาแล้ว12ทริปใน4ปี พาพ่อแม่และอ่ายไปด้วย มีเวลาของตัวเองวันละ24ชม. และยังส่งต่อความสำเร็จให้เพื่อนๆหลายครอบครัวได้รายได้หลักแสนหลักหมื่นต่อเดือนผ่านระบบClover System

และสิ่งที่คอยเตือนผมและอ่ายทำให้เรามีวันนี้ คือ
1.อย่าลืมว่าเราเป็นใคร เรามาจากไหน มีวันนี้ได้ยังไง “อย่าเหลิงกับความสำเร็จ อย่าเข็ดกับความล้มเหลว”
2.อย่าเพิ่งบอกว่ารักดาวไลน์ ถ้าใจและกายเรายังไม่เปลี่ยนอะไรเลย
3.สร้างชีวิตไม่มีง่าย “ปัญหาไม่ใช่หมี ที่จะหนีด้วยการแกล้งตาย” ยังไงก็ต้องเจอ ลุย
4.คำชมทำให้รู้สึกดี แต่คำติที่หวังดีทำให้รู้สึกตัว อย่ากลัวการพัฒนาตัวเอง
5.ความสุขไม่ใช่การที่เรามีเยอะ แต่เป็นการที่เรามีครบ
6.แพ้ให้เป็น แต่อย่ายอมแพ้
เมื่อวันที่ 23 กันยายน เวลา 14:13 น.

Success Story : Zong Clover Time

Avatar
Tom Founder18126
ผม สายศักดิ์ แสงกระจ่าง ครับ เรียกชื่อสั้นๆว่า “สอง” เป็นลูกคนกลาง มีพี่น้องอีก 2 คน ชื่อเรียงกันมาเป็น “หนึ่ง สอง สาม” เกิดมาในครอบครัวของพ่อค้าวัสดุก่อสร้าง “รับเหมาก่อสร้างทั่วราชอนาจักร ตั้งแต่บ้านเดี่ยว ทาวด์เฮาส์ หมู่บ้าน ยันถึง สนามบิน” ดูเหมือนร่ำรวยเพราะมีหน้าร้านขนาดใหญ่ รถหรูเยอะ แต่ความเป็นจริงเต็มไปด้วย “ความเสี่ยง” เพราะทุกอย่างเป็นเครดิต และต้องหมุนเงินปีละ 400-500 ล้าน พร้อมภาระรับผิดชอบชิวิตลูกน้อง กว่า 200 ชีวิต
จนเมื่อปี 40 ด้วยพิษเศรฐกิจฟองสบู่แตก ครอบครัวของผมถูกศาลฟ้องล้มละลาย ชิวิตจากเด็กหนุ่มว่าที่ไฮโซ ที่เพื่อนๆในโรงเรียนหลายๆคนอิจฉา กลายเป็นเด็กเกือบจะไม่มีที่เรียน เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยปัจจัยเศษฐกิจตกต่ำที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ รถหรูเกือบ 10 คัน บ้านหรู 5 ห้องนอนในพื้นที่ขนาดมโหฬาร กลายเป็น กะบะเก่าๆ 1 คัน กับคฤหาศน์โทรมๆที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และรกจนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทุกชนิด แต่ด้วยการต่อสู้ของคุณพ่อ คุณแม่ “สู้ทั้งๆที่ดูเหมือนไม่มีหวัง” “สู้ทั้งๆที่ไม่มีแรง” “สู้ทั้งๆที่ท้อ” “สู้ทั้งๆที่ใครหลายๆคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้” เป็นเวลา 5 ปี ก็สามารถเอาชนะความจนได้ กลับมามีกิจการโรงไม้เป็นของตนเองจนทำกำไรได้ถึงเดือนละ 7 หลัก ส่งลูกสาวเรียน นานาชาติ และลูกชายอย่างผมเรียน ABAC ได้ เหมือนกับคำที่กล่าวว่า “ไม่ว่าจะกี่พันคนบอกว่าคุณทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณหนึ่งคนบอกตัวเองว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้” ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า “ชีวิตคนเราไม่มีใครขึ้นสุดแล้วไม่มีขาลง และไม่มีใครลงสุดจนไม่มีขาขึ้น” อยู่ที่ทัศนคติเมื่อเราเผชิญปัญหาต่างหากว่าเราจะมองโลกในมุมไหน เราจะเลือกมองความสำเร็จที่เคยมีหรือจะมองสิ่งที่เหลืออยู่และลุกขึ้นสู้กับอนาคตต่อไป
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเขียนมานั้นแหละครับคือคำว่า “โอกาส” มันมีอยู่ทุกที่กับถนนทุกเส้น และเงินมันก็ไม่ได้หายากอย่างที่ใครๆหลายคนเข้าใจ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปลี่ยน “โอกาส” ให้กลายเป็น “เงิน” ได้อย่างไร แม้กระทั่งขยะเหม็นๆที่คนส่วนมากมองเป็นสิ่งไร้ค้า ก็ยังมีตัวอย่างเศรษฐีรุ่นใหม่เกิดขึ้นจากการค้าขยะ ในงานศพก็มีคนทำเงินจากการขายพวงหรีด และแม้กระทั้งวันอกหักก็ยังมีคนทำเงินจากการขายบทเพลง เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องเงินหายากตัดไป ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาเงินได้อย่างไร คุณต้องเปลี่ยนคำถามในใจก่อน จาก “ทำไมคนอื่นถึงรวย แต่เราถึงจน” เป็น “คนอื่นรวยได้อย่างไร” แล้วเราจะรวยด้วยวิธีไหน เพราะ “คำถามที่ดีจะนำมาซึ่ง คำตอบที่ดีเสมอ”
เมื่อสามปีก่อน มีรุ่นพี่มาแนะนำธุรกิจ Clover Group ให้ผมฟัง ผมจึงตั้งคำถามที่ดีให้กับตัวเองว่า หากผมต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจ โดยไม่มีความเสี่ยง และผมสามารถพลาดกี่ครั้งก็ได้ ขอแค่สำเร็จครั้งเดียวสำเร็จไปทั้งชีวิต จะมีอาชีพไหนให้ผมได้บ้าง คำตอบที่ได้รับคือ ธุรกิจเครือข่ายเพราะเงินลงทุนต่ำ ไม่มีความเสี่ยง สามารถพลาดกี่ครั้งก็ได้เพราะมันไม่มีวันขาดทุน และที่สำคัญธุรกิจนี้จะเป็นสะพานไปสู่นักธุรกิจไฟแรงมากมาย ทำให้ผมสามารถเข้าถึง Connection มหาศาล ในวันที่ผมอยากทำให้ความฝันที่จะเป็นนักธุรกิจพันล้านมันยิ่งเอื้อมง่ายขึ้น แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่วัยรุ่นมีความฝันอย่างผมจะไม่ลอง
ผมเริ่มต้นธุรกิจทั้งๆที่ไม่พร้อมทางด้านการเงินและเวลา เพราะก่อนผมเริ่มธุรกิจได้ 1 อาทิตย์ผมเป็นหนี้พนันบอลกว่า 300,000 บาท และต้องหลบหน้าเจ้าหนี้เพราะถูกขู่เก็บเงินตลอดเวลา แต่ด้วยตัวอย่างการสู้ชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เคยมีข้อแม้ต่อความสำเร็จหรือกลัวความลำบากแต่อย่างได สู้เพื่อลูกๆอย่างพวกเรา 3 พี่น้องมาทั้งชีวิต ทำให้ผมคิดว่าในฐานะลูกที่ดีหนึ่งคนต้องรีบประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุดเพื่อที่ท่านทั้งสองจะได้หมดห่วง และไปใช้ชีวิตอย่างที่ท่านทั้งสองต้องการ เพราะในขณะที่ลูกๆอย่างพวกเรามีวันพ่อวันแม่แค่ปีละ 2 หน อีกมุมนึงของผู้เป็นพ่อเป็นแม่...ท่านคิดว่าตั้งแต่ท่านมีเรา ทุกๆวันของท่านคือ “วันลูก” ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่สบาย
เรื่องราวทั้งหมดนี้เลยเป็นแรงพลักดันให้ผมเริ่มต้นธุรกิจด้วยมุมมองไม่เหมือนใคร ผมโดนปฎิเสธนับร้อยหน โดนประนามนับพันครั้ง แต่ผมก็ฝืนทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบเป็นระยะเวลา 15 เดือน ผมสามารถเปลี่ยนรายได้จาก 5,000 บาทเป็น 105,000 บาท และผมสามารถพิชิตรายได้ 250,000 บาทด้วยระยะเวลา 25 เดือน สามารถไปเที่ยวต่างแดนกว่า 10 เมืองทั่วโลก ได้ซื้อรถยนต์ BMW เป็นของตัวเอง เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้เพื่อนได้มากมายและที่สำคัญ ผมทำให้พ่อแม่ภูมิใจว่า “ผมคือลูกคนใหม่ของเขา”
ต้องขอขอบคุณระบบ Clover Group ที่เปลี่ยนกระบวนทัศน์เด็กรุ่นใหม่
จากวัยรุ่น “รักสนุก” เป็นวัยรุ่น “รักครอบครัว”
เคล็ดลับ 3 ข้อ ที่ผมยึดในการประสบความสำเร็จคือ
1.ทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำด้วยตัวเอง..เพื่อที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่คนส่วนมากไม่รู้
2.ถามในสิ่งที่ผมไม่รู้โดยไม่สนว่าใครจะมองว่าผมโง่..เพราะผมจะเป็นคนโง่แค่ชั่วคราว ไม่ใช่คนโง่ถาวร
3.คิดต่างคิดนอกกรอบจากคนทั่วไป..เพราะถ้าเราคิดแบบคนทั่วไปเราจะกลายมาเป็นคนธรรมดา
เมื่อวันที่ 23 กันยายน เวลา 2:53 น. 

Success Story : Poy Thitaree Clover Gens

Avatar
Tom Founder18126
ปอยเป็นเด็กเชียงใหม่  จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไป อยากได้อยากมี อยากแต่งตัวสวยๆ ใช้ของดีๆ เสพติดความสุขที่ได้จากการทำบุญและการท่องท่องเที่ยว ปอยโชคดีที่เกิดในครอบครัวที่มีไม่พร้อม คือ ‘มีเงินไม่พร้อม’ ให้เราซื้อในสิ่งที่เราอยากได้ ปอยจึงเรียนรู้ที่จะทำงานหาเงิน มาซื้อสิ่งต่างๆเองตั้งแต่เด็ก ปอยทำงานพิเศษตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นม.4 เริ่มจากเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร แคชเชียร์ เด็กแจกใบปลิว  เด็กในร้านเช่าหนังสือการ์ตูน เป็นครูสอนดนตรีและศิลปะ ครูสอนพิเศษตามบ้าน เป็นนักเขียนคอลัมภ์ลงเว็ปและนิตยาสาร เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษศูนย์ออกแบบ เป็นแม่ค้าหวย(ขายทุกวันที่1และ16) และก่อนเรียนจบได้มีโอกาสฝึกงานกับโรงงานชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้ปอยหาเงินได้มากกว่ารายได้ขั้นต่ำของวุฒิปริญญาตรีตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นปี2

“ก้าวแรกที่สำคัญในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในชีวิต คือ ถามตัวเองก่อนว่าเราต้องการอะไร” ปอยอยากมีเงินเยอะๆ เยอะมากพอที่จะเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขสบาย ปอยจะได้เอาเงินที่เหลือไปท่องเที่ยว ชอปปิ้ง และเผื่อแผ่ไปยังคนที่ด้อยโอกาส โดย‘ไม่รู้สึกผิด’ ต่อบุพการี การมีโอกาสได้เป็น ‘ลูกจ้าง’ ทำงานรับใช้ความฝันให้กับคนอื่น ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้รู้ว่า ‘ลูกจ้าง’ ไม่มีวันได้เงินมากกว่า ‘นายจ้าง’ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ตอนเรียนจบปอยจึงมองหาธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากมีกิจการอะไรก็ได้ที่เป็นของเราเองจริงๆ ปอยไม่เลือกทำงานประจำ ไม่เสียดายวิชาหรือเวลาที่เรียนมา แต่เสียดายเวลาที่เหลือในอนาคตมากกว่า ถ้าเราต้องเอาเวลา 1 ใน 3 ของชีวิตไปแลกกับเงินที่เลี้ยงชีวิตไปวันๆ

ในขณะที่กำลังมองหาโอกาสทำธุกิจอยู่นั่น ปอยกลับวิ่งหนีโอกาสที่ชื่อว่า ‘ธุรกิจเครือข่าย’ เพราะตั้งแต่เด็ก ปอยเห็นหลายๆคนรอบตัว ที่ทำธุรกิจประเภทนี้ ถ้าไม่ล้มเลิกก็ล้มเหลวกันหมด จึงทำให้ปอย “ไม่เชื่อ” ในธุรกิจเครือข่าย ในวันที่คุณอ่าย(เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันสมัยประถม)มาแนะนำธุรกิจเอมสตาร์ ปอยก็เพียงช่วยสมัครซื้อสินค้าให้จบๆไป ไม่คิดอยากทำเป็นธุรกิจ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงสองเดือนรายได้คุณอ่ายเพิ่มขึ้นจาก 2,000 บาท เป็น 10,000 บาท คำถามที่เกิดขึ้นคือ ‘ถ้าอีก1ปี คุณอ่ายรายได้เพิ่มจากหนึ่งหมื่นบาทเป็น1แสนบาท ตัวปอยเองจะทำงานอะไรที่ให้รายได้ขนาดนี้ด้วยเงินลงทุนแค่300บาท’ ปอยมองว่าเอมสตาร์คือโอกาสที่ง่ายที่สุดที่ปอยจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ปอยจึงตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจ

เส้นทางในการประสบความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ปอยเริ่มต้นด้วยความไม่พร้อม ถูกต่อต้านจากคนที่เรารัก ช่วงแรกแม่ยึดกุญแจรถ กุญแจบ้าน ไปไหนมาไหนต้องนั่งรถสี่ล้อแดง ถ้ากลับดึกต้องปีนรั้วเข้าบ้าน ปอยจึงตัดสินใจมาทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ไม่มีเงินเก็บเลย “ปอยไม่รอให้ปัจจัยต่างๆพร้อมสำหรับการเริ่มต้น เพราะเชื่อว่าการเริ่มต้นต่างหากที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง” ปอยขออาศัยอยู่หอพักกับเพื่อน จากเคยทานอาหารดีๆบ่อยๆก็เหลืออาทิตย์ละครั้ง ไปห้างก็ได้แต่เดินดู แม้แต่ช่วงลดราคาก็ไม่กล้าซื้อ บอกตัวเองว่า ‘เก็บเงินไว้ทำธุรกิจดีกว่า อีกหน่อยเป็น Ruby จะซื้อให้หมดทุกแบบเลย’ เชื่อว่าทุกอาชีพบนโลกนี้ล้วนแต่ต้องลงทุน แม้แต่ขอทานยังต้องลงทุกซื้อขันใส่เงิน แต่การลงทุนในธุรกิจนี้คือค่าเดินทาง ค่าสื่อ ค่าโทรศัพย์เท่านั้นเอง ปอยเห็นความ “คุ้มค่า” ที่จะ “อดใจ” ไม่ซื้อของบางอย่างที่อยากได้ เพื่อวันหนึ่งจะซื้อได้ทุกอย่าง แต่ละอาทิตย์ปอยจะนั่งรถทัวร์เดินทางทั้งหมดสามจังหวัด ชลบุรี ระยอง ปราจีน เพื่อไปช่วยทีมงานทำเฮ้า วันไหนเลิกดึกก็หาที่นอนเอาข้างหน้า มีหลายครั้งทนไม่ไหวร้องไห้ในรถทัวร์ ถามกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า “อดทนนะ เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร”

สำหรับปอย ตลอดเส้นทางในการทำธุรกิจ สิ่งที่ ‘เจ็บปวด’ กว่าคำ‘ปฎิเสธ’ คือคำ ‘ดูถูก’ แต่เราต้อง “ไม่ทำ” ให้ใคร “ทายถูก” ทางเดียวคือปอยต้อง “สำเร็จ” เท่านั้น ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ และอดทน จนในที่สุด ปอยใช้เวลา 2 ปี มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท ต่อเดือน และหกเดือนต่อมาก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 140,000 บาท ปัจจุบันปอยเป็นนักธุรกิจระดับ Sapphire Star ซื้อรถยนต์คันแรก Nissan Sylphy 1.8v ราคา 999,000 บาท ในเดือนเกิดอายุครบ 27 ปี เป็นรถราคาไม่แพงมาก แต่เป็นรถที่ปอยภูมิใจเพราะทำให้พ่อกับแม่รู้สึกอุ่นใจ ทำให้ท่านทั้งสองเห็นว่าอย่างน้อยเราก็มีอะไร ‘เป็นชิ้นเป็นอัน’ ขึ้นมา ปอยสามารถ Shopping ซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่ แม้ไม่ใช่ช่วงลดราคา สามารถเผื่อแผ่เงินเลี้ยงดูน้องๆและคนที่ด้อยกว่าเรา ปอยได้ออกเดินทางไปดูโลกกว้าง ได้โบนัสเป็น ทริปการท่องเที่ยวมากกว่า 5 ประเทศ และปัจจุบันยังมีธุรกิจของตัวเองเพิ่มขึ้นอีก 2 บริษัท

ปอยเชื่อว่า..​ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยอดเขาที่ว่าสูง ยังอยู่ใต้เท้ามนุษย์ที่ไม่ละความพยายาม

เคล็ดลับความสำเร็จ
1.) ไม่ลืมคุณคน ไม่ลืมว่าเราโตมาได้ยังไง ใครทำไม่ดีกับเรา เราไม่จำ แต่ใครทำดีกับเรา เราห้ามลืม ผลแห่งการคิดดี คิดตอบแทนบุญคนจะทำให้เราก้าวหน้า
2.) คิดบวก พยายามเข้าใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา อยากได้สิ่งไหนให้ทำสิ่งนั้นให้ผู้อื่นก่อน เพราะธุรกิจนี้ทำงานกับคน ไม่ว่าเจอคนดีหรือไม่ดี ทำถูกใจเราหรือไม่ คิดเสียว่าอย่างน้อยๆเราก็ได้เรียนรู้่คนมากขึ้นอีกประเภทหนึ่ง อย่าหวังเปลี่ยนใคร เราเปลี่ยนได้แค่่ตัวเราเอง
3.) ทำตัวเป็นน้ำแก้วรั่ว เติมความรู้เท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ไม่คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เก่งแล้ว หรือเคยฟังแล้ว เรียนรู้จากสื่อ หนังสือ รอบประชุมสม่ำเสมอ คนฉลาดมักแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองฉลาดมากขึ้น พ่อปอยสอนตั้งแต่เด็กว่า ไม่มีนักปราญช์คนไหนอยากมอบความรู้ให้กับคนที่คิดว่าตัวเองรู้เยอะ(น้ำเต็มแก้ว)
4.) อ่อนในท่าที แข็งในความความคิด มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีจุดยืนในตัวเอง อดทนและสู้ต่อ อย่าให้ความฝันเราเบากว่าลมปากใคร วันนี้ปอยพูดได้เต็มปากว่า ธุรกิจเครือข่าย ไม่มี “ล้มเหลว” มีแต่ “ล้มเลิก” ไปก่อนค่ะ
เมื่อวันที่ 21 กันยายน เวลา 22:27 น.

Success Story : Tee+ Bird The Clover

Avatar
Tom Founder18126
จากเนื้อหาใน TS เมื่อคืน 20 กย ทางกลุ่มจะสื่อใหม่เป็นหนังสือรวบรวมเรื่องราวคนสำเร็จ Ruby++
ในกลุ่ม Clover ซึ่งจะมาเสนอมุมมองดีๆเรื่องราวการเริ่มธุรกิจ ตนประสบความสำเร็จและเคล็บลับ

วันนี้ขอเสนอผู้สำเร็จท่านแรก คุณ ตี๋ เบริดครับ

ผมจบการศึกษาจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ หรือ Sirindhorn International Institute of Technology (SIIT) มีโอกาสทำงานในสาย ที่เรียนมาราว 2ปี หลังจากนั้นกลับมาช่วย ธุรกิจส่วนตัวโรงงานสังฆภัณฑ์ของครอบครัว ก่อนจะขยายไปยัง ธุรกิจกลุ่ม “อสังหาริมทรัพย์” รวมทั้งได้มีโอกาสเป็น ที่ปรึกษา ให้กับบริษัทโรงงานผ้านวม ของครอบครัวพี่เขย อีกทั้ง กำลังจะขึ้น โครงการ โรงแรม Boutique Hotel มูลค่ากว่า 100 ล้านในขณะนั้น หลายคนอ่าน ถึงตรงนี้อาจคิดว่า ผมเป็นคน “ขยัน” แต่อยากบอกไว้ตรงนี้เลยว่า จริงๆแล้ว ผมก็เป็นคนนึงที่ “ขี้เกียจ” สันหลังยาว มากๆคนนึงเลยครับ แต่ที่ทำงานหลายอย่าง พร้อมๆกัน เพราะผมอยากรีบ “สำเร็จ” จะได้ “ขี้เกียจ” ไปยาวๆ

ผมมาเจอธุรกิจ เอมสตาร์ จากรุ่นพี่ที่เคารพรัก 2ท่าน ได้แก่ พี่ชมพู่ พิมพ์ปภัค โล่ห์มหิรัญกุล และ พี่เตี่ยง ณัฐณษัณ โล่ห์มหิรัญกุล ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ธุรกิจแนว “ขายตรง” “เครือข่าย” อะไรพวกนี้ไม่ใช่ “แนว” ที่ผมชอบเลย เคยฟังมาเยอะแล้ว เคยโดนชวนบ่อยมาก เคยทำแล้วสมัยเรียนด้วยซ้ำ แต่ผมเชื่อเรื่อง “ความรู้” ไม่มีวันหมด ไหนๆพี่เค้ามาแล้ว ก็เลยฟัง “อย่างตั้งใจ” อย่างน้อยก็ได้รู้เรื่องราว อะไรเพิ่มเติมในชีวิต 
 หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ค้นพบว่า ทุกอย่างบนโลกนี้มันมี “วิวัฒนาการ” เครือข่าย หรือ ขายตรง แบบที่เราเคยฟังมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้เหมือนกับ เอมสตาร์ เลย
 แต่ปัญหาของผมอีกเรื่องคือ “เวลา” เพราะบรรดางานที่ทำอยู่ 4-5 งาน ก็ไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนอยู่แล้ว เลยตอบพี่เค้าไปตรงๆว่า “มันก็ดีนะพี่ แต่ผม ไม่มีเวลา ครับ” 
 ไม่น่าเชื่อประโยคสั้นๆที่ผมได้รับกลับมากลับ “พลิก” วิธีคิดผมไปโดย สิ้นเชิง เพราะพี่เค้าถามผมกลับว่า “แล้วเอ็งอยากมี เวลา มั้ยหล่ะ?”
 หลังจากนั้นทำให้ผมได้คิด และ คิดได้ ชีวิตที่ผ่านมา ทำมาแบบนี้ตลอด ก็ยังไม่มีเวลา ถ้ายัง “ซื่อบื้อ” ทำแบบนี้ต่อไป จะมีเวลาได้ยังไง นี่คือ เป้าหมายหลัก ในการเริ่มต้น ธุรกิจนี้ของผมเลยครับ “อิสรภาพทางเวลา”

อย่างที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด และมันก็เป็น อุปสรรค ที่สุดในการเริ่มต้นทำอะไรก็ตามเพิ่ม เช่นกัน ดังนั้นในช่วงแรกผมจึงใช้ 2 เทคนิคในการ “จัดเวลา” เพื่อเริ่มต้น 
 อย่างแรกต้อง “ตัด” การใช้เวลาในแต่ละวันที่พอจะตัดได้เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ชอปปิ้ง เที่ยวกลางคืน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ นอกจะทำให้เราเสียเงินยังทำให้เรา “เสียโอกาส” ในการทำอะไรเพิ่มด้วยซ้ำ
 อย่างที่สอง “จัดการ” เวลาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากผมเคยมีประสบการณ์ ทำธุรกิจมาหลายด้านที่ ไม่เคยเรียนมา จึงรู้ว่าในตอน เริ่มต้นทุกงาน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความรู้” ผมจึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ในเวลางานปกติ เพื่อที่จะจัดเวลาไป “เรียนรู้” ที่เซ็นเตอร์ เพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และพยายามฟังซีดีทุกครั้งที่ขึ้นรถ เปิดดีวีดี ทุกครั้งที่เข้าห้องนอน โทรนัดเพื่อนล่วงหน้า เพื่อเลิกงานจะได้มีเนื่องานให้ทำแน่นอนเลย ไม่ใช่รอว่างก่อนแล้วค่อยทำ สุดท้ายนัดใครไม่ได้ ก็ผ่านไปฟรีๆอีกวัน ผมเสียดาย “เวลา”

หลังจากเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างตั้งใจ ระยะแรกๆ รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาไม่กี่พันบาท ทั้งๆที่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้น หลายคนอาจไม่เข้าใจและล้มเลิกไปก่อน แต่ผม “เข้าใจ” ว่าทุกธุรกิจกว่าจะคืนทุนต้องใช้เวลาเป็นปีๆ แต่ธุรกิจนี้เราไม่ได้ลงทุนอะไรเลย จึงถือว่ากำไรตั้งแต่เดือนแรก จึงตั้งใจต่อเนื่องผ่านไป 7 เดือนก็สามารถขึ้นตำแหน่งที่ชื่อ Ruby Star มีรายได้ร่วม 100,000บาท/เดือน ครบ 12เดือนก็เป็นตำแหน่ง Emerald Star มีรายได้ร่วม 200,000บาท/เดือน
ณ ตอนนั้นเองเนื่องจากผมไม่มี ภาระทางครอบครัวอะไรจึง ตัดสินใจให้ของขวัญตัวเอง ที่เหนื่อยมา 1 ปี ด้วย “ยนตกรรม” ที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือ Audi TTs 2.0 TFSI
 และอีก 1 รางวัลของความตั้งใจ และพยายาม คือการได้ ท่องโลกกว้าง ไปยังดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทัชมาฮาล อินเดีย มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หมู่เกาะในฝัน มัลดีฟ ดินแดนแห่งการชอปปิ้ง ฮ่องกง มาเก๊า เกนติ้ง มาเลเซีย กรุงโตเกียว ประเทศญี่่ปุ่น กรุงโซล เกาหลีใต้ รวมทั้ง โจฮันเนสเบิร์ก และ เมืองเคปทาวน์ ประเทศ เซาท์ แอฟริกา
 และทุกๆครั้งที่ได้ไป มีโอกาสได้ไปกับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ทำงานด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน สนุกไปด้วยกัน จนวันนี้สิ่งที่ได้กลับมา มากกว่า เงินทอง รถยนต์สุดหรู หรือการท่องเที่ยว นั่นคือ การมี “ครอบครัว” ที่น่ารัก อบอุ่น ช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกัน ในมุมมองส่วนตัวของผม นี่คือ “สังคมมูลค่า” ที่ต่อให้มีเงิน เท่าไหร่ก็ ซื้อไม่ได้

ตลอดเส้นทางการทำธุรกิจส่วนตัว รวมถึงธุรกิจนี้ ผมมีโอกาส ได้ พบเจอผู้คนมากมาย ได้ฟัง ได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ และหลายๆครั้ง มักได้ยินคำว่า “เราทำไม่ได้” ผมเองเป็นเด็กขี้แย ขี้กลัว ขี้อาย และ ขี้เกียจ มาก่อน ปัจจุบัน ผมเล่นกีฬา ได้เกือบทุกชนิด ไม่กลัวความผาดโผน ชอบลองสิ่งใหม่ๆ กล้าพูดต่อหน้าคนจำนวน มากๆ ทำงานหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เพราะผม เก่ง มีพรสวรรค์ อะไรมากมายนะครับ เพียงแต่ว่าในพจนานุกรมของผม “ไม่มี” คำว่า impossible “มีแต่” คำว่า i’m possible

หากมีใครซักคนเดินมาถามผมว่า “เคล็ดลับ” ในการประสบความสำเร็จของผมคืออะไร?
 ผมคงนึกถึงเวลาที่ผม “เริ่มต้น” ทำอะไรใหม่ๆ ทุกครั้ง ไม่ว่าจะกีฬาชนิดใหม่ งานใหม่ ธุรกิจใหม่ ทุกครั้งผมจะ “เริ่ม” จาก “ปลายทาง” เสมอๆ คือมองคนที่ สำเร็จในด้านนั้นๆก่อน 
 ยึดคนเหล่านั้นเป็น “เป้าหมาย” เป็น “แบบอย่าง” หลังจากนั้นผมค่อยหา “วิธีการ” โดยส่วนตัวผมชอบ ถาม จากคนที่ทำได้ ดูแล้วเลียนแบบ แต่บางครั้งดูคนเหล่านั้นทำ มันช่างง่ายดาย แต่พอเราทำเอง กลับรู้สึกว่ายาก เพราะยังไม่มี “ทักษะ” ดั้งนั้นพอได้ วิธีการ มาแล้วต้อง “ฝึก” “ฝึก” “ฝึก” “ฝึก” “ฝึก” แล้วก็ “ฝึก”
บางครั้งก็ฝึกในสนามซ้อม บางครั้งก็ฝึกในสนามจริง ทุกๆครั้งที่ได้ทำผมจะ “หวัง” ให้มันสำเร็จ และทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด แม้หลายครั้งมันจะพลาด บางครั้งผิดหวัง ไม่เป็นไปตามตั้งใจ แต่ก็จะยังทำต่อไป เพราะต่อให้เราไม่ได้ “ผลลัพธ์” เราก็ยังได้ “ประสบการณ์”
 สรุปง่ายๆก็คือ “ตั้งเป้าหมาย” เรียนรู้ “วิธีการ” จากคนสำเร็จ “ลงมือทำ” ซ้ำๆ จนก่อเกิด เป็น “ทักษะ” และ “ประสบการณ์” และตลอดเส้นทาง จงคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า
 “เราทำได้”
เมื่อวันที่ 21 กันยายน เวลา 19:12 น.

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

Motivation : อย่าให้ใครขโมยความฝันของคุณ

Avatar
Tom Founder17376
หลังจากบริษัทพึ่งประกาศทริป Moscow ออกมาเชื่อว่าหลายคนคงตื่นเต้น

อยากให้ตั้งใจและไม่ล้มเลิกความตั้งใจครั้งนี้ง่ายๆ 
ลองอ่านนิทานและเรื่องราวของผมกันครับ

ยาวหน่อย แต่อาจเป็นป้ายบอกทางและแรงบันดาลใจให้บางคนได้

อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของคุณ

ในห้องเรียนของเด็กชั้นมัธยมปลายแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ครูให้นักเรียนเขียนเรียงความ เรื่องความฝันของฉัน (My Dream) นักเรียนชายอายุประมาณ 15 ปี ชื่อ มอนตี้ เขียนเรียงความว่าตนฝันอยากเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงม้าที่มีเนื้อที่กว้าง ใหญ่มหาศาลเท่านั้นเท่านี้ กำหนดตัวเลขไว้ชัดเจน กลางฟาร์มม้านั้นจะสร้างอาคารกว้างยาวเท่านั้นเท่านี้ เพื่อเป็นที่ต้อนรับผู้คนที่จะมาศึกษาดูงานฟาร์มม้าของตน มอนตี้อธิบายทุกอย่างชัดเจนละเอียดลออครบถ้วน แล้วส่งเรียงความนั้นให้กับครูเช่นเดียวกับเพื่อนๆ

เมื่อครูตรวจเสร็จแล้วแจกเรียงความนั้นคืนให้นักเรียนทุกคน มอนตี้รีบดูผลการตรวจของครู ปรากฏว่า ตรงมุมกระดาษด้านบนมีตัวหนังสือสีแดงเขียนตัว F ซึ่งแปลว่าตก หรือ Fail และมีข้อความเขียนไว้ว่า “พบครูหลังเลิกเรียนแล้ว”?
 เมื่อมอนตี้เข้าไปพบครูตอนเย็น ครูบอกกับเขาว่า “มอนตี้ เธอฝันว่าจะเป็นเจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ขนาดนั้นน่ะ เธอรู้มั้ยว่ามันต้องใช้เงินมากมายมหาศาลเลยนะ แล้วตอนนี้ทางบ้านของเธอมีเงินแค่ไหน ฝันของเธอเป็นไปไม่ได้เลย เอาอย่างนี้ละกัน มอนตี้ เธอกลับบ้านแล้วเขียนเรียงความฉบับใหม่มาให้ครูพรุ่งนี้ คราวนี้เขียนฝันที่พอจะมีทางเป็นไปได้หน่อยนะ แล้วครูจะให้คะแนนใหม่แทนคะแนน F ที่เธอได้นี้
     มอนตี้กลับบ้านแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อฟัง พร้อมขอคำแนะนำว่าตนควรจะทำอย่างไรดี เมื่อพ่อของมอนตี้อ่านฝันที่มอนตี้เขียนจบแล้วจึงพูดกับมอนตี้ว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของลูกทีเดียว พ่อว่าลูกต้องคิดและเลือกเองแล้วล่ะ” เช้าขึ้นมอนตี้ไปพบครูพร้อมทั้งส่งเรียงความฉบับเดิมให้แก่ครู และบอกกับครูว่า “ครูเก็บ F ของครูไว้เถอะครับ ผมจะเก็บฝันของผมไว้ (You keep your F., I keep my dream.)” 


เสียงคนเล่าจบลง พร้อมพูดว่า “เรียงความฉบับนั้น ผมใส่กรอบแขวนไว้กลางผนังที่ทุกท่านเห็นอยู่นั้น และขณะนี้ทุกท่านกำลังยืนอยู่ในอาคารกลางฟาร์มเลี้ยงม้าที่เด็กคนนั้นเขียนไว้ในฝันของเขา และถ้าท่านมองออกไปข้างนอก นั่นคือฟาร์มเลี้ยงม้าขนาดเดียวกับที่เขียนไว้ในเรียงความฉบับนั้น
  หลังจากที่คณะดูฟาร์มได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดและกำลังจะแยกย้ายกลับบ้าน ได้มีชายสูงวัยคนหนึ่งเดินมาหา มอนตี้แล้วพูดว่า จำคุณครูได้ไหม “ครูว่าตลอดหลาย 10 ปี ครูคงเป็นคนขโมยฝันของนักเรียนมาหลายคนแล้ว แต่ครูดีใจที่เธอเก็บฝันของเธอไว้ และทำฝันให้เป็นจริง ครูขอโทษที่เกือบจะขโมยฝันของเธอเช่นกัน”
   

ผมได้ยินนิทานเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และใช้เป็นป้ายบอกทางทุกครั้งที่มีใครจะมาขโมยความฝัน ผมว่าเรื่องราวคล้ายๆลักษณะนี้คงเกิดขึ้นจริงกับใครหลายคนในชีวิตจริงที่แรกๆก็เป็นคน คิดใหญ่ฝันใหญ่ อยากที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่พอเริ่มไปบอกใครบางคนว่าจะทำสิ่งที่เป็นความฝันที่ดูยิ่งใหญ่เกินจริง ก็มักมีคนรอบข้างไม่เชื่อ หาว่าบ้าบ้าง เพี้ยนบ้าง เพ้อฝันบ้าง และมักบอกให้เรากลับมาสู่โลกของความเป็นจริงเสมอ

ซึ่งได้ยินเช่นนั้น หลายคนไม่ได้คิดแบบมอนตี้ หลายๆคนกลับล้มเลิกความฝันของตัวเอง เพียงเพราะใครบางคนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายหลายๆคนก็ไม่ได้เกิดมาและทำตามความฝันของตัวเองในที่สุด

เมื่อหลายปีก่อนผมมีความฝันอย่างนึงว่า หากได้เห็นสถานที่สวยๆจากโปสเตอร์ จากในหนัง จากใน Internet หรือจากที่ใดๆก็ตาม จะบอกตัวเองว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เราต้องไปในสถานที่แห่งนั้นให้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง เวลาหรือค่าใช้จ่าย ซึ่งใครที่รู้ เขาคงหาว่า เพ้อฝัน บ้า หรือเวอร์เกินไป แต่สุดท้ายมันก็คือ 1 ในฝันเล็กๆของผมเช่นกัน ไม่ว่าใครจะพูดหรือคิดอย่างไร ผมก็เดินหน้าตามความฝันตัวเองต่อ

ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีเงินและเวลามากพอ
หรือที่เรียกว่า " Financial Freedom"
ซึ่งก็คือ มี "อิสรภาพทางการเงินและเวลา"

จนกระทั่งด้วยความพยายามหลายปี
ในวันที่ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจ
ผมจึงสามารถทำตามความฝันนี้ได้

เมื่อหลายเดือนผมก่อนได้มีโอกาส เห็นภาพๆหนึ่ง
เป็นภาพทะเลสาบน้ำใสราวกระจกสะท้อนภาพภูเขาที่อยู่ข้างหลังเห็นแล้วสะดุดตามากจึงไปค้นหาดูจึงพบว่ามันคือเมือง Hallstatt เป็นเมืองเล็กๆอยู่ที่ Austria จึงตั้งใจเลยว่าต้องไปให้ได้

แต่เชื่อไหมเมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรให้เที่ยวมากนักนอกจากมาพักผ่อนตากอากาศจริงๆ จึงไม่มีทัวร์ไหนพามาพักที่นี้เลย อย่างมากคือแค่เป็น 1 ในโปรแกรมแวะเที่ยว ให้ได้ถ่ายรูป 3 ชมและนั่งรถไปเมืองข้างๆต่อซึ่งเป็นอะไรที่ดู ชะโงกทัวร์มาก

แต่มันเป็นความตั้งใจที่ผมอยากมาสุดท้ายผมจึงหาข้อมูลจากทั้งหนังสือและ Internet จนได้ข้อมูลมากพอ และจึงได้ทำการจัด Trip ของตัวเองขึ้นมา โดยมี Hallstatt เป็นจุดหมายปลายทาง

แต่ไหนๆจะมาแล้วจึงพยายามเลือกเวลาที่มาแล้วได้อะไรคุ้มที่สุด สุดท้ายเมื่อโปรแกรม Super Cup ออกมาและกำหนดสถานที่เตะคือที่ Prague ซึ่งใกล้ๆกันพอดี และบังเอิญอีกมากที่ Chelsea แข่งกับ Man U ก่อนหน้าแค่ไม่กี่วันเอง Trip นี้จึงถูกกำหนดอย่างคุ้มค่าลงตัวมากสำหรับความต้องการของผม

เริ่มที่ไป Manchester ดู Man U Vs Chelsea จากนั้นแวะเที่ยว London 2 วันและเดินทางต่อ ไป Prague เพื่อ ดู Super Cup Chelsea Vs Bayern เสรจแล้วลงใต้แวะเที่ยวเมืองเล็กๆน่ารัก Cesky Krumlov อีก 1 คืน และมาจบที่ Hallstatt ซึ่งผมจะอยู่ที่นี้เต็มอิ่ม 3 วันเลย

ซึ่งโชคดีมากที่มา 3 เพราะวันแรกที่มาฟ้าฝนไม่เป็นใจฝนตกทั้งวัน ซึ่งหากมาทัวร์แล้วเจอฝนตกจบเลย แต่นี้ยังมีเวลาอีก 2 วันซึ่งดูจากพยากรณ์อากาศแล้วพุ่งนี้ฟ้าน่าจะโปร่ง

วันนี้เลยออกมานั่งดูถ่ายทอดสดแดงเดือดตรงระเบียงก็ ชิวไปอีกแบบ

ซึ่งภาพที่เห็นนี้ถ่ายจากห้องพักในโรงแรมที่พักเลยเป็นวิวริมทะเลสาบเลย เมืองนี้ของจริงสวยมากๆ
สวยกว่าภาพแรกที่ผมเห็นใน Internet เสียอีก(ภาพพื้นหลัง)

นี้ก็เป็นฝันอีก 1 อย่างที่บรรลุแล้ว อยากเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้เดินตามความฝันของคุณเสมอ